แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 46
1
จัดฟันบางนา: อาหารที่ควรงดรับประทานหลังจากทำการฟอกสีฟัน

การฟอกสีฟันหรือฟอกฟันขาวเป็นการเปลี่ยนแปลงสีฟันที่ขุ่นหมองให้กลับมาขาวสดใส ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาของสีฟันที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันเหลือง อันเนื่องมาจากสาเหตุจากการรับประทาน กาแฟหรืออาหารที่มีสีเป็นประจำ การฟอกสีฟัน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่รับประทานกาแฟทุกเช้าหรือจิบตลอดระหว่างวัน จึงทำให้มีสีฟันที่เปลี่ยนไป จนทำให้เกิดปัญหาตามมา ซึ่งก็จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการฟอกสีฟัน แต่หลายคนมีข้อสงสัยว่า การฟอกสีฟัน มีผลข้างเคียงหรือไม่ ซึ่งภายหลังจากการฟอกสีฟันนั้น จะมีอาการเสียวฟัน


ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยมากที่สุดซี่ แต่จะเกิดขึ้นในช่วงแรกประมาณ 1-3 วันแรก และจะค่อยๆหายไป สำหรับอาการเสียวฟันเกิดจากน้ำยาฟอกสีฟันไปทำให้เม็ดสีของฟันแตกตัวออกเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ทำให้เนื้อฟันถูกดึงน้ำออกไปด้วย บางครั้งอาจจะมีอาการเหงือกเป็นแผล หากน้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสบริเวณเหงือกอาจทำให้เกิดแผลได้ ต้องถือว่าภายหลังจากการฟอกสีฟันแล้วก็ต้องมีวิธีการดูแลตัวเองดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน โดยเฉพาะในเรื่องของการรับประทานอาหารเพราะมีอาหารบางอย่างที่ต้องงดหรือหลีกเลี่ยง ภายหลังจากการฟอกสีฟันแล้วสำหรับวันนี้คลินิกเราจะมาบอกถึงเรื่องของอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ภายหลังจากการฟอกสีฟันซึ่งจะทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงพฤติกรรมต่าง ๆของผู้เข้ารับการรักษาที่จำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ภายหลังจากการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว

สำหรับอาหารที่ผู้เข้ารับการรักษาเกี่ยวกับการฟอกสีฟัน ควรหลีกเลี่ยงและควรงดนั่นก็คืออาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดสีและคราบบนผิวฟัน เช่นชา กาแฟไวน์ ซอส ลูกอม เนื่องจากจะทำให้เกิดสีบนผิวฟัน แต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เข้ารับการรักษาอาจจะใช้วิธีการใช้หลอดดูดแทนการดื่มจากแก้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการที่เครื่องดื่มจะสัมผัสกับผิวฟัน นอกจากนี้ควรงดรับประทานอาหารหรือเครื่อง ดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น ผลไม้รสเปรี้ยวและรวมไปถึงอาหารที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดการทำลายบนผิวของฟันได้และเป็นการลดอาการเสียวฟัน ภายหลังจากการฟอกสีฟันอีกด้วย


นอกจากนี้หลังจากทำการฟอกสีฟันผู้เข้ารับการรักษาที่มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ควรงด สูบบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์ และจะต้องรับประทานยาแก้ปวด หากมีอาการปวดอย่างไรก็ตามผู้เข้ารับการรักษาควรกลับมารับการตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำทุก 6 เดือน ภายหลังจากการฟอกสีฟันเนื่องจากความขาวของฟันจะไม่คงทนถาวรเรื่องความขาวสดใสของสีฟันจากค่อยๆ ลดลงตามลำดับ และสีฟันจะคงอยู่ได้นานแค่ไหนนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการรักษา หากผู้เข้ารับการรักษามีการดูแลเอาใจใส่ฟันเป็นอย่างดีหรือมีการทำความสะอาดที่ถูกวิธีก็จะช่วยให้สีของฟันคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี โดยที่ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาจะแนะนำให้มีการทำซ้ำเป็นระยะทุกปีเพื่อให้สีฟันที่ขาวขึ้นอยู่ และสามารถอยู่ได้คงทนถาวรและยาวนานขึ้นนั่นเอง

สำหรับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันและการปฏิบัติตัว ภายหลังจากการฟอกสีฟันนั้น ผู้เข้ารับการรักษาควรทำความสะอาดช่องปากตามปกติ ด้วยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน บ้วนปากเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยอาจจะใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโพแทสเซียมไนเตรต เพื่อป้องกันอาการเสียวฟันด้วย หากมีอาการเสียวฟันมากผู้เข้ารับการรักษาสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้ ทั้งนี้จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่จะทำให้เกิดสีและคราบบนเนื้อผิวฟัน และงดรับประทานอาหารที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้สีของฟันมีการเปลี่ยนแปลงและวิธีป้องกันการเกิดคราบบนผิวฟันนั้นต้องบอกก่อนว่าการฟอกสีฟันไม่ได้ทำให้ฟันขาวถาวร

แต่เป็นหันที่ผ่านการฟอกจะมีสีครามขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปโดยเฉพาะ เมื่อเกิดคราบสะสมบนเนื้อฟัน ดังนั้นเราควรมีวิธีปกป้องการเกิดคราบบนผิวฟันให้ฟันขาวอยู่เสมออทั้งนี้หากคุณสนใจเข้ารับการฟอกสีฟันสามารถติดต่อขอคำแนะนำจากทางคลินิกได้ เนื่องจากคลินิกของเราให้บริการเกี่ยวกับทางด้านทันตกรรมอย่างครบวงจรเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐานได้รับการรองรับจากสถาบันต่าง ๆ จึงมั่นใจได้ว่าคลินิกจะทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีความปลอดภัย รวมไปถึงช่วยดูแลสุขภาพช่องปากและฟันได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ทุกท่านที่เข้ามาใช้บริการมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงได้อย่างแน่นอน

2
ก่อนเลือกซื้อของตกแต่งบ้าน ควรพิจารณาว่าสไตล์บ้าน

ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อของตกแต่งบ้าน คุณควรพิจารณา สไตล์การตกแต่งบ้าน ที่ต้องการให้ชัดเจนเสียก่อน เพราะการมีธีมที่แน่นอนจะช่วยให้บ้านของคุณดูเป็นระเบียบและเข้ากันได้อย่างลงตัว ไม่ใช่การนำของที่ชอบมาวางรวมกันโดยไม่มีทิศทาง


ทำความเข้าใจสไตล์บ้านของคุณ

บ้านแต่ละแบบมีสไตล์เป็นของตัวเอง การเลือกของตกแต่งควรสอดคล้องกับสไตล์เหล่านั้น

สไตล์โมเดิร์น: เน้นความเรียบง่าย สะอาดตา และใช้รูปทรงเรขาคณิต ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีเส้นสายชัดเจนและโทนสีเรียบๆ เช่น ขาว ดำ เทา

สไตล์มินิมอล: เน้นความน้อยแต่มาก (Less is more) เน้นของตกแต่งที่จำเป็นเท่านั้น และใช้โทนสีอ่อนๆ เช่น สีขาว สีเบจ หรือสีพาสเทล

สไตล์วินเทจ: เน้นความเก่าแก่และมีเรื่องราว สามารถใช้ของตกแต่งที่เป็นของเก่าหรือของสะสมมาผสมผสานได้

สไตล์ลอฟต์: เน้นความดิบ โชว์โครงสร้างอาคาร ควรเลือกของตกแต่งที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น เหล็ก อิฐ หรือปูนเปลือย


ประโยชน์ของการกำหนดสไตล์

ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: เมื่อคุณมีสไตล์ที่ชัดเจน คุณจะรู้ว่าควรจะซื้ออะไร ไม่ซื้ออะไร ช่วยลดการซื้อของที่ไม่จำเป็นได้

สร้างความกลมกลืน: ของตกแต่งแต่ละชิ้นจะมีความเชื่อมโยงกัน ทำให้บ้านดูสวยงามและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สะท้อนตัวตน: สไตล์การตกแต่งบ้านสามารถบ่งบอกถึงบุคลิกและรสนิยมของคุณได้ดีที่สุด

เมื่อคุณตอบคำถามได้แล้วว่า "บ้านของเรามีสไตล์แบบไหน" การเลือกของตกแต่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะทุกชิ้นที่คุณเลือกจะเข้ากันได้อย่างลงตัวและทำให้บ้านของคุณน่าอยู่ยิ่งขึ้นค่ะ

3
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)

ไข้หวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก และเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ จะติดเชื้อจากเพื่อนในห้องป่วยเป็นไข้หวัดได้บ่อยมาก

โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ที่มีคนอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ และพบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง

ไข้หวัดจัดว่าเป็นโรคที่ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ เนื่องเพราะมักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ด้วยการปฏิบัติตัวและการรักษาตามอาการ

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส (virus) มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดจากกลุ่มไวรัสหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มไวรัสไรโน (rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสโคโรนา (coronavirus) กลุ่มไวรัสอะดีโน (adenovirus) กลุ่มอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) กลุ่มไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (parainfluenza virus) กลุ่มเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) กลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) กลุ่มเชื้อเริม (herpes simplex virus) เป็นต้น แต่ละกลุ่มจะมีสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ เช่น ไวรัสโคโรนา มีสายพันธุ์เก่า 4 สายพันธุ์ ถึงปี 2563 มีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น 3 สายพันธุ์ รวมทั้งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19

การเกิดโรคขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็จะเกิดจากเชื้อหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้น และมีอาการรุนแรงน้อยลงไป

เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด เนื่องจากเป็นฝอยละอองที่มีขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 ไมครอน) จึงกระจายออกไปได้ไม่ไกล คือภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร จัดว่าเป็นการแพร่กระจายทางละอองเสมหะ (droplet transmission)

นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่น หนังสือ โทรศัพท์ เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนถูกฝอยละอองของผู้ป่วย เมื่อคนปกติสัมผัสถูกมือของผู้ป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคน ๆ นั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคน ๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้

ระยะฟักตัว (ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น) 1-3 วัน


อาการ

มีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหนักศีรษะเล็กน้อย คอแห้งหรือเจ็บคอเล็กน้อย คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ซึ่งมักจะมีน้ำมูกมากใน 2-3 วันแรก

น้ำมูกมีลักษณะใส บางรายหลังมีน้ำมูกใสได้ 2-3 วันน้ำมูกอาจมีลักษณะข้นขาว หรือเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ซึ่งมักพบในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า เนื่องจากเป็นน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกเป็นเวลานาน ตอนสาย ๆ ก็มักจะกลับกลายเป็นใส

ต่อมาอาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะสีขาว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณลิ้นปี่เวลาไอ ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียนเวลาไอ

ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงคัดจมูก น้ำมูกไหล

ในเด็กมักจับไข้ขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจมีไข้สูงและชัก ในทารกอาจมีอาการอาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย

ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีไข้ติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหล ติดต่อกันนานเกิน 10 วัน

ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทำให้มีไข้ หรือเป็นหวัดเรื้อรังนานกว่าปกติ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ดังนี้

    หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน มักพบในเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดหูมาก ในทารกจะมีอาการร้องงอแง เอามือดึงใบหูตัวเอง
    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไข้ ปวดหน่วง ๆ ที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม มักมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวมีกลิ่นเหม็น
    ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน มีอาการเจ็บคอมาก กลืนลำบาก ตรวจพบทอนซิลบวมแดง เป็นหนอง
    กล่องเสียงอักเสบ มีอาการเสียงแหบ
    หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไอบ่อย มีเสลดที่ขึ้นมาจากหลอดลม
    หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน มีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน
    โรคหืดกำเริบ มีอาการหายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    ปอดอักเสบ มีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บหน้าอก หายใจหอบ หรือหายใจเร็ว

โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมักเกิดในผู้ป่วยที่ไม่ได้พักผ่อน ตรากตรำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ (เช่น ขาดอาหาร เป็นต้น) ในทารก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

มักตรวจพบไข้ น้ำมูก เยื่อจมูกบวมและแดง คอแดงเล็กน้อย ในเด็กอาจพบทอนซิลโต แต่ไม่แดงมากและไม่มีหนอง

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือสงสัยว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น (เช่น ไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ไข้เลือดออก) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด นำน้ำมูกหรือเสมหะไปตรวจหาเชื้อ เอกซเรย์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ให้ยารักษาตามอาการ ดังนี้

(1.1) สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
    ถ้ามีอาการน้ำมูกไหล ใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก ไม่จำเป็นต้องใช้ยา ยกเว้นในรายที่มีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ให้กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็น โดยให้กินครั้งละ ½-1 เม็ด ถ้าไม่ทุเลาซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ถ้าทุเลาแล้วให้หยุดยา*
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) บ่อย ๆ ถ้าไอมากลักษณะไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ ให้ยาระงับการไอ

(1.2) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม
    ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้ลูกยางเบอร์ 2 ดูดน้ำมูกออกบ่อย ๆ (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรใช้น้ำเกลือหยอดในจมูกก่อน) หรือใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่ง สอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรชุบน้ำสุก หรือน้ำเกลือพอชุ่มก่อน) แพทย์จะไม่ให้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก เนื่องเพราะมีผลเสีย (ผลข้างเคียงจากยา) มากกว่าประโยชน์ในการรักษาโรค
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมาก ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** ถ้ามีอาการอาเจียนเวลาไอ ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้อาเจียน แนะนำให้ป้อนนมและอาหารทีละน้อย แต่บ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจะเข้านอน

2. ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้ เพราะนอกจากไม่ได้มีผลต่อการฆ่าเชื้อหวัดซึ่งเป็นไวรัส ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาได้

แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น) ในรายที่มีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น

3. ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ให้งดยาแก้แพ้ลดน้ำมูกและยาระงับการไอ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)

4. ถ้ามีอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็ก อายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือมีไข้นานเกิน 4 วัน อาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะรุนแรงอื่น ๆ ได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น แล้วทำการรักษาตามสาเหตุที่พบ

5. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในจมูกหรือคอหอย และให้การดูแลรักษาตามสาเหตุที่พบ

6. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดนก เช่น มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วัน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ถ้าเป็นจริงก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักหายได้ภายใน 7-10 วัน ส่วนน้อยที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อให้ยาปฏิชีวนะรักษาก็หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

*ยาแก้แพ้มีฤทธิ์ในการลดน้ำมูกในผู้ที่เป็นไข้หวัด ใช้เพียงเพื่อบรรเทาอาการให้สุขสบายเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น เนื่องจากยานี้อาจมีผลข้างเคียงได้หลายอย่าง จึงควรใช้บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี (นอกจากไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการแล้ว ยังอาจเกิดโทษได้อีกด้วย) ผู้ที่เป็นต้อหิน โรคลมชัก โรคหืด หรือต่อมลูกหมากโต (มีอาการปัสสาวะลำบาก) ก็ไม่ควรใช้ยานี้เพราะอาจมีผลข้างเคียงทำให้โรคเหล่านี้กำเริบได้

**ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำผึ้งแก่ทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี เพื่อป้องกันการเกิดโรคโบทูลิซึม


การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งมั่นใจว่าเป็นไข้หวัดที่ไม่รุนแรง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป
    สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝน หรือถูกอากาศเย็นจัด และอย่าอาบน้ำเย็น
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
    ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    งดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่
    ถ้ามีไข้สูง กินยาลดไข้-พาราเซตามอล (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)
    ถ้ามีน้ำมูกมาก สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ให้ใช้ลูกยางดูด หรือใช้กระดาษเช็ดออก

สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี ใช้กระดาษเช็ดออก ถ้ามีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงความจำเป็นและความปลอดภัยในการใช้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกบรรเทาอาการ

    ถ้าไอเล็กน้อย ให้จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ บ่อย ๆ ถ้าไอมาก ให้จิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี) หรือยาแก้ไอมะขามป้อม หรืออมยาอมมะแว้ง (ยกเว้นเด็กเล็ก) ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ควรดื่มน้ำมาก ๆ
    ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    พบอาการไข้หรือไข้หวัดในทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน
    -    ทารกมีไข้ ร่วมกับร้องกวนงอแงมาก หรือเอามือดึงใบหูตัวเอง หรือมีไข้ขึ้นสูงกว่าวันแรก ๆ 
    -    มีไข้สูงตลอดเวลา หรือมีไข้เป็นพัก ๆ ทุกวันติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย หรือหลังจากไข้หายแล้วไม่นานกลับมีไข้กำเริบใหม่
    -    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก นอนซม หรือซึมมาก
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม 
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    หายใจหอบ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหายใจเร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) 
    -    มีอาการหอบหืดกำเริบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    -    มีอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นเวลานานเกิน 10 วัน
    -    มีอาการไอนานเกิน 14 วัน หรือไอมีเสลดข้นเหลืองหรือเขียว
    -    มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
    -    สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก โรคโควิด-19 ไข้เลือดออก หรือไข้จากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ
    -    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยามีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    -    มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าสงสัยว่ามีอาการรุนแรง หรือไม่มั่นใจที่ดูแลตนเองตั้งแต่แรก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัด ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    หายใจหอบ/หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือเจ็บหน้าอกมาก
    -    ไอเป็นเลือด หรือน้ำหนักลด
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บตรงหน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม 
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    มีอาการไข้นานเกิน 4 วัน มีน้ำมูกนานเกิน 10 วัน ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอนานเกิน 14 วัน
    -    ในกรณีที่แพทย์ให้กินยาปฏิชีวนะ ถ้ากินไป 4 วันยังไม่ทุเลา หรือทำยาหาย
    -    มีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น

การป้องกัน

1. หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น

2. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นไข้หวัด ควรปฏิบัติดังนี้

    ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูก
    อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
    อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เครื่องใช้ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
    ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย

ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาและป้องกันไข้หวัดอย่างได้ผล การรักษาอยู่ที่การพักผ่อนและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ยาที่ใช้ก็เป็นเพียงยาที่รักษาตามอาการเท่านั้น

ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากไวรัสส่วนใหญ่มักจะหายได้เองด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย และหายตามระยะของโรค โดยทั่วไป อาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วัน และอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหลมักเป็นอยู่นาน 7-10 วัน ถ้ามีไข้เกิน 4 วัน หรือเป็นหวัดน้ำมูกไหลเกิน 10 วัน มักแสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ

ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายตัวร้อนแล้ว แต่ก็อาจมีน้ำมูกและไอต่อไปได้ บางรายอาจไอโครก ๆ อยู่เรื่อย อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) มักจะเป็นลักษณะไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาว ถ้าพบว่าผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ไม่ต้องให้ยาอะไรทั้งสิ้น ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ (ควรงดดื่มน้ำเย็น ถ้าดื่มแล้วทำให้ไอมากขึ้น)

2. ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบ) แก่ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดทุกราย ยกเว้นในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียที่จำเป็นต้องใช้ยาชนิดนี้เท่านั้น

การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับไข้หวัดจากไวรัสไม่ได้ช่วยให้โรคหายไว หรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา ที่สำคัญ การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง (เช่น ท้องเดิน จุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย) แพ้ยา และอาจก่อโทษต่อร่างกาย เช่น ทำให้เชื้อโรคดื้อยา ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย ทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อน (เช่น ลิ้นเป็นโรคเชื้อรา ตกขาวจากเชื้อรา โรคท้องเดินชนิดรุนแรง เป็นต้น)

3. ผู้ที่เป็นไข้หวัด (ซึ่งมีอาการตัวร้อนร่วมด้วย) เรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย อาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจรั่วมาแต่กำเนิด ทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางอะพลาสติก โรคขาดอาหาร เป็นต้น จึงควรตรวจดูว่ามีสาเหตุเหล่านี้ร่วมด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ยังเกิดจากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งอาจเกิดจากการนอนหลับพักผ่อนไม่พอ มีจิตใจเครียด หรือขาดการออกกำลังกาย หากพบว่าเกิดจากสิ่งเหล่านี้ ก็ควรแก้ไขให้ร่างกายแข็งแรง

4. เด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเข้าโรงเรียนในช่วง 3-4 เดือนแรก อาจเป็นไข้หวัดได้บ่อย เพราะติดเชื้อหวัดหลากชนิดจากเด็กคนอื่น ๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเรื่อย ๆ

เด็กที่เป็นไข้หวัดบ่อย แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน ถ้าไม่พบมีความผิดปกติ และเด็กมีพัฒนาการดี ก็จะอธิบายให้พ่อแม่เด็กเข้าใจ และแนะนำให้มียาลดไข้พาราเซตามอลไว้ประจำบ้านให้เด็กกินเวลาตัวร้อน ส่วนยาอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน หมั่นชั่งน้ำหนักตัว พอพ้น 3-4 เดือน อาการก็จะเป็นห่างไปเอง เนื่องจากร่างกายเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดมากชนิดแล้ว

5. ผู้ที่เป็นหวัดโดยไม่มีไข้ โดยมีน้ำมูกใสและจามบ่อย มักเกิดจากการแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือละอองเกสร มากกว่าที่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (ดู "หวัดภูมิแพ้")

6. ผู้ที่มีอาการไข้และมีน้ำมูก แต่ตัวร้อนจัดตลอดเวลา กินยาลดไข้ก็ไม่ค่อยทุเลา มักจะไม่ใช่เป็นไข้หวัดธรรมดา แต่อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น หัด ปอดอักเสบ หรือทอนซิลอักเสบ แพทย์จะตรวจดูอาการของโรคเหล่านี้อย่างละเอียด

นอกจากนี้ยังมีโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด ที่ในระยะแรกอาจแสดงอาการคล้ายไข้หวัดได้ เช่น ไข้เลือดออก ไอกรน คอตีบ โปลิโอ ตับอักเสบจากไวรัส ไทฟอยด์ สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น จึงควรติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ถ้าพบว่ามีไข้นานเกิน 4 วัน หรือมีอาการผิดไปจากไข้หวัดธรรมดา ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

7. อย่าซื้อหรือใช้ยาชุดแก้หวัดที่มียาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ผสมอยู่ด้วย นอกจากจะไม่จำเป็นแล้วยังอาจมีอันตรายได้

8. เมื่อเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก เพราะอาจทำให้เชื้อลุกลามเข้าหูและโพรงไซนัส ทำให้เกิดการอักเสบแทรกซ้อนได้

9. สำหรับเด็กเล็ก อย่าซื้อยาแก้หวัดแก้ไอสูตรผสมต่าง ๆ กินเอง เพราะอาจมีตัวยาเกินความจำเป็น จนอาจเกิดพิษได้ แม้แต่ยาแก้แพ้ แก้หวัด นอกจากจะไม่มีประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจมีผลข้างเคียงต่อเด็กเล็กได้ ในการรักษากันเองเบื้องต้น ควรใช้ยาลดไข้พาราเซตามอลเพียงชนิดเดียวจะปลอดภัยกว่า

10. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


5
รถรับจ้างราคาถูก รถกระบะรับจ้างจังหวัดนนทบุรี ต้องการรู้ราคา ต้องติดต่อที่ไหน

รถกระบะรับจ้างจังหวัดนนทบุรี ถือว่าเป็นจังหวัดที่ ใครหลายๆคนย้ายสถานที่ทำงานหรือเข้ามาทำงานยังจังหวัดนี้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ เกิดการขนย้ายของ ขนย้ายสินค้าจากโรงงานอุตสาหกรรมหนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่งเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะงาน ขนย้ายหอ ย้ายคอนโด ย้ายสำนักงาน ย้ายบ้านนนทบุรี เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน เป็นเพราะว่า จังหวัดนนทบุรี เป็นจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานอย่างมากมาย จึงทำให้ธุรกิจ การคมนาคม หรือ ธุรกิจงานขนย้ายของ เติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ

รถรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรี ถือได้ว่า มีผู้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากเนื่องจาก มีราคาที่ไม่แพง ขนย้ายง่าย มีความสะดวกและคล่องตัว เพราะว่าในบางครั้ง ในพื้นที่ที่คับแคบหรือเดินทางไม่สะดวก หรือไม่สามารถที่จะเข้าซอยเล็กๆได้แต่สำหรับรถ กระบะรับจ้างขนของนนทบุรี นั้นจะเข้าได้สบายหายห่วงสามารถ เข้าได้ถึงจุดให้บริการจนถึงที่

ทำให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายในการขนย้าย จึงได้เกิดงานการจ้างงานอยู่เป็นประจำแต่ที่ไหนระจะมีรถรับจ้างที่มีมาตฐานแบบขนส่งอย่างเราดังนั้นบอกได้เลยว่ารถรับจ้างเราไว้ใจได้เหมาะกับงานทุกงานเลือกใช้เราได้เลยนะจ๊ะ

ในทุกๆครั้งที่เราให้บริการ รถรับจ้างขนของ แก่ลูกค้าในเขตนนทบุรีหรือจังหวัดอื่นๆ เรารู้สึกว่าเราภูมิใจและดีใจเป็นอย่าง

มากที่ได้มีโอกาสรับใช้และช่วยเหลืองานขนย้ายให้กับลูกค้าทุกคน เราคิดอยู่เสมอว่า การบริการที่ดีไม่ใช่เพียงแค่ราคาที่ถูกเท่านั้น การที่เราเอาใจใส่การที่เราตั้งใจทำงาน และขนย้ายของให้กับลูกค้า นั่นคือสิ่งที่ลูกค้าทุกคนต้องการอยากจะได้จากเราดังนั้นเราจึงต้อง ไม่ทำให้ลูกค้าต้องผิดหวัง ทำงานให้เต็มความสามารถ เพราะทีมงาน รถรับจ้างของเราทุกคันนั้น

ต่างฝึกฝนและอบรมมาเป็นอย่างดีว่า ลูกค้าคือผู้ที่จะทำให้เราอยู่รอด หากไม่มีลูกค้าแล้วเราจะหารายได้จากที่ไหน บัตรผ่อนชำระค่างวดรถ และเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้น งาน รถรับจ้าง ขนย้ายของทุกงานเราจึงเต็มที่ และตั้งใจมากเป็นที่สุด

หากคุณต้องเดินทางมาท่องเที่ยวและซื้อของฝากในปริมาณมากๆต้องการที่จะใช้บริการ รถรับจ้างขนของ รถกระบะรับจ้าง

ขนของจังหวัดนนทบุรี ก็สามารถเรียกใช้บริการเราได้ตลอด 24 ชั่วโมงเรามีรถกระบะรับจ้างทั้งที่เป็นแบบตู้ทึบและแบบคอกสูงไว้คอยบริการคุณ อย่าลืมนะคะสนใจ ต้องการขนย้ายของ สอบถามราคาต่อรองราคาค่าบริการโทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง เราพร้อมและยินดีให้บริการคุณอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าลูกค้าจะว่างเวลาไหนเราก็สามารถวิ่งรถไปในเวลาที่ลูกค้าว่าเหมาะสมกับการขนย้ายของที่ลูกค้าติดต่อมายังขนส่งขนไวทันใจแน่นอน

งานขนย้ายส่วนใหญ่ของ รถรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรี ส่วนมากก็จะเป็นงานย้ายหอพัก ย้าย condominium ย้ายสินค้าทางการเกษตร ย้ายเฟอร์นิเจอร์ รวมไปจนถึงขนย้าย วัสดุก่อสร้างในบางรายการ แต่ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานอะไร ทุกงานบริการ เราก็พร้อมให้บริการท่านตลอด 24 ชั่วโมง โดย ทีมงานรถรับจ้างขนส่ง เราให้บริการลูกค้าที่ เต็มความสามารถและมีคุณภาพ ราคาไม่แพง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 10 ปี เรารู้ว่าทุกงานบริการ งานขนย้ายของ

ของ รถกระบะรับจ้าง ของเรา เราให้ความสำคัญและเต็มที่กับงานบริการเป็นอย่างมาก จึงทำให้ลูกค้า ที่เคยมาใช้บริการกับเราต้องกลับมาใช้ซ้ำ เพราะเขาเล็งเห็นถึงคุณภาพของเนื้องาน ที่ให้บริการ ความเอาใจใส่ดูแลสินค้า ความมีน้ำใจอัธยาศัยดี และที่สำคัญราคายังถูกอีกด้วย จึงทำให้ลูกค้ากลับมาใช้ซ้ำอยู่หลายครั้ง และสำหรับลูกค้ารายใหม่ๆ เราก็พร้อมให้บริการท่านด้วยเช่นกัน ไม่ว่าคุณต้องการที่จะ ขนย้ายของไปต่างจังหวัด หรือจะวิ่งในเขตกรุงเทพปริมณฑล

เราก็พร้อมให้บริการท่านอย่างไม่มีปัญหา ท่านอาจจะตรวจสอบราคาค่าขนย้าย กับเราได้ โดยไม่มีปัญหา ต่อรองราคาได้ ตรวจเช็คกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทาง เบอร์โทรศัพท์ หรือ facebook หรือทาง line เราก็พร้อมให้บริการในทุกช่องทาง โทรมานะครับ

6
การเตรียมตัวก่อนย้ายบ้าน กับ บริการรถรับจ้างสมุทรปราการ รถรับจ้างใกล้ฉัน

เมื่อคุณต้องการ บริการรถรับจ้างสมุทรปราการ ที่ครบวงจรและครอบคลุมทุกรูปแบบขนส่งในสมุทรปราการขนส่ง ทางเรามีบริการ รถกระบะรับจ้าง และ รถหกล้อรับจ้าง ที่พร้อมจะบริการคุณ ให้ท่านได้เลือกใช้บริการอย่างสะดวกสบาย และปลอดภัยทุกการเดินทาง

    บริการรถกระบะรับจ้าง : รถกระบะขนาดพอดีที่จะตอบสนองทุกความต้องการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้า ย้ายของ หรือใช้บริการในงานก่อสร้าง รถกระบะของเรามีความจุพร้อมให้บริการและครอบคลุมทุกประการ
    บริการรถหกล้อรับจ้าง : ถ้าคุณมีความต้องการในการขนส่งสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ขนาด รถหกล้อของเรามีความจุที่มากพอสมควรและสามารถรองรับน้ำหนักมาก ทำให้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับงานขนส่งทุกรูปแบบ

บริการที่คุณไว้วางใจได้

    บริการรถรับจ้างที่มีความปลอดภัยและความถูกต้อง
    ความสะดวกสบายในการจัดส่งและรับส่ง
    ค่าบริการที่เป็นกันเองและเหมาะสม
    ทีมคนงานที่มีความเชี่ยวชาญและใส่ใจในการให้บริการ


รถกระบะรับจ้างขนสินค้าออนไลน์

    วางแผนย้ายบ้านอย่างไร ให้ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

    กำหนดวันและเวลา : กำหนดวันและเวลาที่คุณต้องการที่จะ ย้ายบ้าน นี่คือขั้นตอนเริ่มต้นที่สำคัญที่จะช่วยให้คุณมีเวลาในการจัดการและระบุรายละเอียดของการย้ายบ้าน
    สร้างรายชื่องาน : สร้างรายชื่อทุกงานที่ต้องทำก่อนการย้ายบ้าน รวมถึงการบรรจุของของใช้ การยกเลิกบริการ การเปลี่ยนที่อยู่ การตรวจสอบเอกสาร และอื่น ๆ
    จัดระเบียบของใช้ : ตรวจสอบของใช้และสินค้าที่คุณต้องการย้าย แยกแยะระหว่างของที่ควรย้ายและของที่ควรทิ้ง สิ่งที่ไม่ต้องการสามารถถูกขาย บริจาค หรือทิ้งทิ้งตามความเหมาะสม
    รายละเอียดการเช่ารถรับจ้าง : หากคุณใช้บริการรถรับจ้างในกระบวนการย้ายบ้าน, คุณควรระบุรายละเอียดของการเช่ารถรับจ้าง รวมถึงประเภทของรถ ขนาด ราคา และสถานที่รับ-ส่ง
    บรรจุของใช้ : บรรจุของใช้ให้เรียบร้อยในกล่องและหอบต่าง ๆ โดยใส่สิ่งที่หนูรู้ด้วยกระดาษหรือพลาสติกสำหรับป้องกันความเสียหาย ให้แต่ละกล่องระบุเนื้อหาและหมายเลขห้อง
    การเตรียมอุปกรณ์ : มั่นใจว่าคุณมีอุปกรณ์บริเวณเพื่อการย้ายบ้าน เช่น กล่อง เทปปิ้ง กระดาษหีบของ มีด และซิลิโคน
    รายละเอียดการย้ายที่อยู่ใหม่ : ติดต่อกับการไฟฟ้า น้ำประปา อินเทอร์เน็ต และบริการสื่อสารเพื่อปิดบริการที่ที่อยู่เก่าและเปิดบริการที่ที่อยู่ใหม่
    การบรรจุของบันทึกและเอกสาร : รักษารายละเอียดการย้าย เอกสารบ้าน รายชื่อที่เหมาะกับคนติดต่อ และเอกสารสำคัญอื่น ๆ ในกล่องเฉพาะหรือไฟล์เรียบร้อย
    แจ้งคนติดต่อ : แจ้งคนติดต่อที่จำเป็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนที่อยู่ของคุณ เช่น ญาติ เพื่อน และหน่วยงานที่สำคัญ
    การตรวจสอบรายละเอียดสุดท้าย : ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่พลาดข้อสำคัญใด ๆ และความพร้อมสำหรับการย้ายบ้าน

การวางแผนย้ายบ้านช่วยให้คุณประหยัดเวลาและเงินในกระบวนการย้ายบ้าน และลดความสับสนและความเครียดในวันย้ายบ้าน

   
การเตรียมอุปกรณ์และของใช้ก่อนย้ายบ้าน

เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการย้ายบ้านขนส่ง เนื่องจากมันช่วยให้คุณมีความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพในการจัดการของใช้ของคุณในการย้ายของมาที่อยู่ใหม่ของคุณ นี่คือขั้นตอนในการเตรียมอุปกรณ์และของใช้ก่อนย้ายบ้าน

    กำหนดของใช้ที่ต้องการย้าย : ทำการตรวจสอบของใช้ทั้งหมดและกำหนดของที่คุณต้องการย้ายมาที่บ้านใหม่ ลิสต์ออกชิ้นสิ่งนั้นเพื่อความชัดเจน
    สร้างกล่องหรือพื้นที่การจัดเก็บ : ใช้กล่องหรือบริเวณเก็บของเพื่อจัดเรียงของใช้ที่คุณต้องการย้าย ให้แต่ละกล่องเป็นชื่อและรายชื่อเนื้อหา
    สั่งซื้อวัสดุบรรจุ : ซื้อกล่องบรรจุ เทปปิ้ง กระดาษหีบของ และวัสดุบรรจุอื่น ๆ เพื่อช่วยในการบรรจุของใช้ให้ปลอดภัย
    แยกแยะของใช้ : แยกแยะของใช้ตามประเภทและความบ่งคอบ นี่ช่วยให้คุณสามารถจัดเรียงและบรรจุของใช้อย่างมีระเบียบ
    บรรจุของใช้ : วางของใช้ในกล่องหรือหอบโดยใช้วัสดุบรรจุเพื่อป้องกันความเสียหาย แต่ละกล่องควรมีป้ายชื่อและรายละเอียดเนื้อหา
    การบันทึกรายละเอียด : บันทึกรายละเอียดของของใช้ที่อยู่ในกล่องหรือหอบ เช่น หมายเลขห้อง รายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหา และสถานที่ที่ควรวาง
    บรรจุของใช้แต่ละวันหรือตามความเรียบร้อย : ไม่บรรจุของใช้ที่คุณอาจต้องใช้ทุกวันในกล่องหรือถาดเล็ก เพื่อให้สามารถเข้าถึงของใช้นี้ได้ง่าย
    บรรจุเครื่องมือและอุปกรณ์ : สำรองการบรรจุเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการเคลื่อนย้าย เช่น กระดาษสลิง กระดาษซิลิโคน มีด เครื่องวัด และอุปกรณ์ต่าง ๆ
    รักษาของบันทึกและเอกสารสำคัญ : รักษาเอกสารสำคัญเช่น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เอกสารบ้าน สัญญาเช่า และเอกสารการเงินในที่เฉพาะหรือซองให้ความรอบรู้

การเตรียมอุปกรณ์และของใช้ก่อนย้ายบ้าน บริการรถรับจ้างสมุทรปราการ จะช่วยให้คุณมีกระบวนการย้ายที่เรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ และทำให้คุณลดความสับสนและความเครียดในวันย้ายบ้านรถ 6 ล้อรับจ้าง

   
การตรวจสอบค่าใช้จ่ายและราคาของบริการรถรับจ้าง

เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการย้ายบ้าน เพื่อให้คุณไม่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด บริการรถรับจ้างสมุทรปราการ ที่คุณสามารถรับได้ตามงบประมาณของคุณ นี่คือขั้นตอนในการตรวจสอบค่าใช้จ่ายและราคาของบริการรถรับจ้าง

    ขอใบเสนอราคา : ติดต่อบริการรถรับจ้างและขอใบเสนอราคาสำหรับการย้ายของคุณ ในใบเสนอราคา ควรระบุรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดเช่น ค่าบริการ ค่าจัดจรัส ค่าน้ำมัน ค่าแรงงาน ภาษี ค่าอุปกรณ์เสริม และค่าบริการอื่น ๆ
    แจ้งรายละเอียดการย้าย : ให้บริการรถรับจ้างทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการย้ายบ้านของคุณ รวมถึงปริมาณและขนาดของของใช้ที่ต้องการย้าย ระยะทาง และประเภทของบริการที่คุณต้องการ
    ตรวจสอบค่าใช้จ่ายแนะนำ : หากค่าใช้จ่ายที่แสดงในใบเสนอราคาอาจมีความสูงเกินกระบวนการย้ายของคุณ คุณสามารถขอคำแนะนำจากบริการรถรับจ้างว่าจะทำอย่างไรให้ลดค่าใช้จ่ายหรือจัดลดราคาให้คุณ
    สารสำคัญ : ตรวจสอบข้อกำหนดในสัญญาหรือใบเสนอราคาอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่าคุณทราบถึงข้อกำหนดเช่นเวลาการเช่า ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และนโยบายการยกเลิก
    การกระทำของการเช่า : ควรตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายถูกเรียกเก็บเมื่อบริการรถรับจ้างถูกจัดให้ในระหว่างย้ายบ้าน แนะนำให้ตรวจสอบใบเสร็จราคาหรือสัญญาก่อนที่คุณจะตรอกหรือตัดสดับข้อมูลการชำระเงิน
    การสรุป : หลังจากการตรวจสอบค่าใช้จ่ายและราคาของบริการรถรับจ้างอย่างรอบคอบและพิจารณารายละเอียดของสัญญาหรือใบเสนอราคา สรุปค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดและสร้างงบประมาณสำหรับการย้ายของคุณ

การตรวจสอบค่าใช้จ่ายและราคาของบริการรถรับจ้างช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดในการย้ายบ้านและให้คุณรับบริการที่มีคุณภาพในราคาที่คุณสามารถรับได้

7
จัดฟันบางนา: จัดฟันแบบใส ขั้นตอนไม่ซับซ้อน ออกแบบครั้งเดียว จบ

การเข้ารับการจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ด้วยการออกแบบและการวางแผนการรักษาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ถือว่าเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผลการรักษามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น นี่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้การเข้ารับการจัดฟันแบบใสได้รับความสนใจมาก ซึ่งโดยปกติแล้วการเข้ารับการจัดฟันไม่ว่าในรูปแบบใดก็จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การรับประทานอาหาร จนกระทั่งการทำความสะอาดช่องปากและฟัน เพราะผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบทั่วไป มีเครื่องมือการจัดฟันติดตั้งอยู่ภายในช่องปาก ทำให้เรารับประทานอาหารได้ลำบากและจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความอ่อนนุ่ม เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันที่อาจจะหลุดได้ขณะรับประทานอาหารและในการแปรงฟัน หากมีเครื่องมืออยู่ภายในช่องปากก็จะสามารถทำความสะอาดได้ยากและอาจทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง

ทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุได้ แต่ไม่การเข้ารับการจัดฟันแบบใส หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า สามารถถอดเครื่องมือเข้าออกได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหาร จึงทำให้เราสามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่และหลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันด้วย สำหรับในการทำความสะอาดช่องปากและฟันก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ สามารถแปรงฟันได้สะอาดมากยิ่งขึ้นเพราะไม่มีเครื่องมือที่เป็นอุปสรรคในการทำความสะอาดสามารถทำความสะอาดได้ทุกซอกทุกมุม และยังสามารถใช้ไหมขัดฟันร่วมกับการแปรงฟันได้ นี่ก็เป็นข้อดีที่เห็นได้ชัดว่า การจัดฟันแบบใส มีความแตกต่างจากการจัดฟันแบบทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ ในเรื่องของการรักษาก็มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก เพราะไม่ต้องเข้าพบทันตแพทย์บ่อยๆ เพื่อเปลี่ยนเครื่องมือการจัดฟัน เพราะการจัดฟันแบบใสมีเครื่องมือการจัดฟันที่สามารถถอดออกได้และเป็นการออกแบบเครื่องมือโดยเฉพาะบุคคล ทำให้มีขั้นตอนการรักษาที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สำหรับใครที่สงสัยว่า การจัดฟันแบบใสนั้นมีขั้นตอนอย่างไร และที่เคยได้ยินว่ามีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนนั้น เป็นอย่างไรวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงประเด็นที่ว่าการจัดฟันแบบใส มีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนและออกแบบเครื่องมือครั้งเดียวจริงหรือ

เราจะต้องอธิบายก่อนว่า การรักษาด้วยการจัดฟันแบบใสนั้น ก่อนการรักษาทันตแพทย์จะทำการวิเคราะห์ปัญหาของผู้เข้ารับการจัดฟันว่ามีปัญหามากน้อยแค่ไหนและจะทำการวางแผนการรักษาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันว่าสามารถเคลื่อนตัวไปยังในตำแหน่งที่ต้องการได้หรือไม่

นอกจากนี้ ผู้เข้ารับการจัดฟันยังสามารถออกแบบรอยยิ้มได้ด้วยตนเอง สามารถวางแผนร่วมกับทันตแพทย์ได้ ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีผลการรักษาที่พึงพอใจและในขั้นตอนการรักษานั้นก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะในการเข้ารับการจัดฟันแบบใส ทันตแพทย์จะทำการวิเคราะห์ปัญหาและออกแบบเครื่องมือการจัดฟันก่อนเข้ารับการรักษา ผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องเข้าพบทันตแพทย์บ่อยๆ หรือบางครั้งที่ต้องเดินทางมาพบทันตแพทย์ก็จะเป็นการรับเครื่องมือชุดต่อไปเท่านั้น เพราะเครื่องมือการจัดฟันทันตแพทย์ออกแบบโดยเฉพาะบุคคลและออกแบบได้ครั้งเดียวและใช้ไปได้ตลอดการจัดฟัน

ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าพบทันตแพทย์ใบบ่อย นี่ก็เป็นข้อดีและความสะดวกสบายของผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส ต่างจากการเข้ารับการจัดฟันแบบทั่วไปที่จะต้องทำการตรวจและปรับเครื่องมือทุกเดือน เพื่อให้ฟันเคลื่อนตัวไปในตำแหน่งที่ทันตแพทย์ได้วางแผนเอาไว้ บางครั้งอาจจะมีการถอนฟันร่วมด้วย ซึ่งหากเทียบกับการจัดฟันแบบใสแล้วต้องบอกว่าการจัดฟันแบบทั่วไปนั้น ยังมีขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่า ดังนั้น จึงเป็นการยืนยันว่าการเข้ารับการจัดฟันแบบใสจะช่วยทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีความสะดวกสบายเพราะการรักษาไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนยุ่งยากและสามารถออกแบบเครื่องมือการจัดฟันได้ครั้งเดียว

สำหรับใครที่อยากเข้ารับการจัดฟันแบบใสสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำแรกที่คลินิก ของเราเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันและการทันตกรรมอื่นๆ ทั้งยังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการการจัดฟันแบบใสได้ ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามีความมั่นใจว่า เมื่อเข้ารับการรักษากับทางคลินิกแล้วจะมีความปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงจะมั่นใจได้ว่าคุณจะมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามและมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีรวมไปถึงสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติด้วย

8
ผ้ากันไฟแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร

ผ้ากันไฟแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันในด้านวัสดุ คุณสมบัติ และการใช้งาน ดังนี้ค่ะ


1. ผ้าใยแก้ว (Fiberglass)
วัสดุ: ทำจากเส้นใยแก้ว
คุณสมบัติ:
ทนความร้อนได้ปานกลาง (ประมาณ 550-600 องศาเซลเซียส)
ไม่ติดไฟ

ราคาไม่แพง
อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ

การใช้งาน:
เหมาะสำหรับงานเชื่อม งานเจียร หรือตัดโลหะทั่วไป
ใช้เป็นผ้ากันสะเก็ดไฟ หรือผ้าห่มดับไฟขนาดเล็ก


2. ผ้าซิลิกา (Silica)
วัสดุ: ทำจากเส้นใยซิลิกา
คุณสมบัติ:
ทนความร้อนได้สูงมาก (ประมาณ 1000 องศาเซลเซียส)
ไม่ติดไฟ
มีความทนทานสูง
ราคาแพงกว่าผ้าใยแก้ว
การใช้งาน:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการป้องกันความร้อนสูงเป็นพิเศษ เช่น งานเชื่อมที่มีอุณหภูมิสูง งานตัดโลหะขนาดใหญ่
ใช้เป็นผ้ากันสะเก็ดไฟ หรือฉนวนกันความร้อน


3. ผ้าเคฟลาร์ (Kevlar)
วัสดุ: ทำจากเส้นใยเคฟลาร์
คุณสมบัติ:
มีความแข็งแรงทนทานสูง ทนต่อการฉีกขาด
ทนความร้อนได้ดี
มีน้ำหนักเบา
ราคาแพง
การใช้งาน:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานสูง เช่น งานดับเพลิง งานกู้ภัย หรืออุตสาหกรรมยานยนต์
ใช้ทำชุดป้องกันไฟสำหรับนักดับเพลิง


4. ผ้าอะรามิด (Aramid)
วัสดุ: ทำจากเส้นใยอะรามิด
คุณสมบัติ:
ทนต่อความร้อนและเปลวไฟสูง
มีความทนทาน
มี 2 ชนิดคือ Meta-Aramid และ Para-Aramid
การใช้งาน:
ใช้ในชุดป้องกันไฟสำหรับนักดับเพลิงและงานอุตสาหกรรม
Meta-Aramid ใช้ในงานที่เกี่ยวกับการทนความร้อน กรองฝุ่น เป็นฉนวนป้องกันไฟฟ้า
Para-Aramid มีความแข็งแรงต่อการรับน้ำหนัก ทนต่ออุณหภูมิสูง และ การขีดข่วนได้ดี


5. ผ้าเซรามิก (Ceramic)
วัสดุ: ทำจากเส้นใยเซรามิก
คุณสมบัติ:
ทนความร้อนได้สูงมาก (ประมาณ 1260 องศาเซลเซียส)
ไม่ติดไฟ
มีความทนทานสูง
การใช้งาน:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องทนความร้อนสูงพิเศษ เช่น งานในเตาเผาอุตสาหกรรม


6. ผ้าเคลือบสารพิเศษ
วัสดุ: ทำจากผ้าใยแก้วหรือวัสดุอื่นๆ และเคลือบสารพิเศษ
คุณสมบัติ:
มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น กันน้ำ กันสารเคมี หรือสะท้อนความร้อน
คุณสมบัติขึ้นอยู่กับสารเคลือบที่ใช้
การใช้งาน:
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษ เช่น งานที่ต้องสัมผัสกับน้ำหรือสารเคมี

สรุป
การเลือกผ้ากันไฟควรพิจารณาจากลักษณะการใช้งาน อุณหภูมิ งบประมาณ และคุณสมบัติอื่นๆ ที่ต้องการ เพื่อให้ได้ผ้ากันไฟที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการป้องกันอันตรายจากไฟและสะเก็ดไฟ

9
บริหารจัดการอาคาร: 5 พื้นที่เสี่ยงน้ำรั่วซึม พร้อมวิธีป้องกันปัญหา

เข้าหน้าฝนแล้ว อีกปัญหาหนึ่งของบ้านที่จะเผยออกมาให้เราเห็นได้ชัดเจนกว่าฤดูกาลอื่นนั่นก็คือปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึมซึ่งพื้นที่เหล่านี้คือพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาเหล่านั้น เมื่อรู้แล้วจะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร เรามีคำแนะนำ


1.ห้องนอนหลัก

ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องปกติที่จะบอกว่าห้องนอนหลักนั้นเสี่ยงต่อปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึมเนื่องจากไม่มีแหล่งของน้ำเลย แต่จะบอกว่าบ่อยครั้งที่ห้องนอนหลักมักจะมีห้องน้ำในตัว หากห้องน้ำของห้องด้านบนมีการรั่วไหล บางครั้งรอยรั่วอาจปรากฎขึ้นในห้องนอนหลัก หรือห้องนอนใหญ่ของคุณ ซึ่งมักเป็นผลมาจากน้ำรั่วไหลผ่านช่องว่างภายในอิฐ และปูนของผนังที่แยกระหว่างห้องนอนใหญ่ และห้องน้ำในตัว

คำแนะนำ : หากคุณกำลังจะบิวท์อินตู้เสื้อผ้าในห้องนอนใหญ่ ควรเลือกผนังที่อยู่ห่างจากผนังกั้นห้องน้ำ และห้องนอน เพราะหากมีน้ำรั่วขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจทำให้ตู้เสื้อผ้าของคุณได้รับความเสียหายจากน้ำรั่ว


2.เพดาน

ไม่ว่าจะเป็นเพดานห้องน้ำ หรือห้องครัวน่าจะเป็นพื้นที่ทั่วไปที่อาจเกิดการรั่วซึมได้ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำในบ้าน

คำแนะนำ : หากคุณซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอาคารสูงให้ลองติดต่อกับยูนิตที่อยู่เหนือห้องของคุณโดยตรง แล้วให้พวกเขาลองเปิดก๊อกน้ำ เพื่อทดสอบการรั่วของน้ำจะดีกว่าเสมอที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ก่อนที่คุณจะย้ายเข้าไป


3.ห้องน้ำ

นอกจากเพดานห้องน้ำแล้ว ในห้องน้ำก็ยังมีจุดอื่นที่รั่วซึมได้ เนื่องจากห้องน้ำมักเปียก คุณจึงอาจไม่ได้สังเกตว่ามีน้ำรั่วอยู่เสมอ ฝักบัวและก๊อกน้ำเป็นพื้นที่ทั่วไปที่อาจเกิดการรั่วซึมได้ ส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้โดยการขันข้อต่อบางส่วนให้แน่นแต่บางครั้งอาจเกิดรอยรั่วในยาแนว


4.ใกล้เครื่องปรับอากาศ

ที่อยู่อาศัยใหม่มักมาพร้อมเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นเรื่องดี ด้วยเหตุผลเรื่องความสวยงาม ท่อแอร์มักซ่อนอยู่ภายในผนังคอนกรีตหรือเพดานปูน หากท่อเหล่านี้เกิดรอยรั่วก็จะแสดงให้เห็นจากคราบน้ำที่ผนัง หรือเพดานของคุณ


5.บริเวณเครื่องซักผ้า

เนื่องจากพื้นที่ซักล้างมักมีการติดตั้งก๊อกน้ำ และช่องระบายน้ำสำหรับเครื่องซักผ้า ข้อต่อเหล่านี้อาจทำให้เกิดรอยรั่วได้เช่นกัน บางครั้งตัวกรองปั๊มถ่ายน้ำทิ้งของเครื่องซักผ้าก็อาจล้นได้เช่นกัน หากไม่ได้ระบายออกเป็นระยะ ซึ่งตัวกรองปั๊มระบายน้ำจะจับสิ่งของชิ้นเล็กๆ ที่คุณลืมทิ้งไว้ในเสื้อผ้า เช่นเหรียญ ซึ่งอาจไปติดอยู่ในท่อ อย่างไรก็ตามน้ำส่วนเกินสามารถสะสมในนั้นได้เช่นกัน

คำแนะนำ : ระบายตัวกรองปั๊มระบายน้ำของเครื่องซักผ้าเป็นระยะๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ล้น ปกติจะอยู่บริเวณด้านล่างของตัวเครื่อง เพียงเปิดฝาแล้วคลายเกลียววาล์วและระบายน้ำลงในภาชนะ

10
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


11
หมอประจำบ้าน: บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (Burns)

บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก เป็นอุบัติเหตุที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าเป็นเพียงเล็กน้อยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนพอทนได้ และค่อย ๆ หายไปได้เอง แต่ถ้าเป็นมาก (กินบริเวณกว้าง และแผลลึก) มักจะมีภาวะแทรกซ้อน ทำให้ทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้

สาเหตุ

มักเกิดจากความประมาทเลินเล่อ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ สิ่งที่ทำให้เกิดบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ที่พบได้แก่

1. ความร้อน เช่น น้ำร้อน (หม้อน้ำ กระติกน้ำ กาน้ำ ไอน้ำ) น้ำมันร้อน ๆ (ในกระทะ) ไฟ (เตาไฟ ตะเกียง บุหรี่ ประทัด พลุ) วัตถุที่ร้อน (เช่น เตารีด จานชามที่ใส่ของร้อน)

2. ไฟฟ้าช็อต ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน "ไฟฟ้าช็อต"

3. สารเคมี เช่น กรด ด่าง

4. รังสี เช่น แสงอัลตราไวโอเลต (แสงแดด) รังสีเรเดียม รังสีโคบอลต์ รังสีนิวเคลียร์ ระเบิดปรมาณู เป็นต้น

อาการ

อาการขึ้นอยู่กับขนาด ความลึก และตำแหน่งของบาดแผล

1. ขนาด หมายถึงบริเวณพื้นที่ของบาดแผล แผลขนาดใหญ่ (กินบริเวณกว้าง) จะมีอันตรายกว่าแผลขนาดเล็ก อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ โปรตีน และเกลือแร่ ถึงกับเกิดภาวะช็อกได้ และอาจมีโอกาสติดเชื้อถึงขั้นเป็นโลหิตเป็นพิษถึงตายได้

การประเมินขนาดกว้างของบาดแผล นิยมคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวหนังทั่วร่างกาย ถ้าคิดหยาบ ๆ ให้เทียบเอาว่า แผลขนาดหนึ่งฝ่ามือ (ของผู้ป่วย) เท่ากับ 1% ของผิวหนังทั่วร่างกาย เช่น ถ้าแผลมีขนาดเท่ากับ 10 ฝ่ามือ ก็คิดเป็นประมาณ 10% เป็นต้น

ทางการแพทย์ได้แบ่งเปอร์เซ็นต์ของผิวหนังตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นมาตรฐานทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ (ดังภาพที่แสดง) ซึ่งสะดวกในการคิดคำนวณ

บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก

2. ความลึก ผิวหนังมีความลึก 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า (epidermis) และชั้นหนังเเท้ (dermis) เราแบ่งบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ออกเป็น 3 ขนาดด้วยกัน ดังนี้

(1) บาดเเผลดีกรีที่ 1 หมายถึง บาดแผลที่มีการทำลายของเซลล์หนังกำพร้าชั้นผิวนอกเท่านั้น หนังกำพร้าชั้นในยังไม่ถูกทำลาย สามารถเจริญขึ้นมาแทนที่ส่วนผิวนอกได้ จึงมีโอกาสหายได้สนิทและไม่มีแผลเป็นยกเว้นถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ

มักเกิดจากการถูกแดดเผา (อาบเเดด) การถูกน้ำร้อน ไอน้ำเดือด หรือวัตถุที่ร้อนเพียงเฉียด ๆ และไม่นาน

ผิวหนังส่วนที่เป็นบาดแผลจะมีลักษณะแดงบวมเล็กน้อย และปวดแสบปวดร้อน ไม่มีตุ่มพอง หรือหนังหลุดลอก มีลักษณะแบบเดียวกับรอยแดดเผา ซึ่งถือเป็นบาดแผลไหม้ดีกรีที่ 1 แบบหนึ่ง

บาดเเผลดีกรีที่ 1 ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียน้ำและโปรตีน จึงไม่ต้องคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผิวหนังที่เกิดบาดแผล มักจะหายได้เองและไม่มีอันตรายร้ายแรง

(2) บาดแผลดีกรีที่ 2 หมายถึง บาดแผลที่มีการทำลายของหนังกำพร้าตลอดทั้งชั้น (ทั้งชั้นผิวนอกและชั้นในสุด) และหนังแท้ส่วนที่อยู่ตื้น ๆ (ใต้หนังกำพร้า) แต่ยังมีเซลล์ที่สามารถเจริญทดแทนส่วนที่ตายได้ จึงหายได้เร็วและไม่เกิดเป็นแผลเป็นเช่นกัน ยกเว้นถ้ามีการติดเชื้อ

มักเกิดจากการถูกของเหลวลวก หรือถูกเปลวไฟ

บาดแผลจะมีลักษณะแดงและพุเป็นตุ่มน้ำขนาดเล็กและใหญ่ ผิวหนังอาจหลุดลอกเห็นเป็นเนื้อแดง ๆ มีน้ำเหลืองซึม มีอาการเจ็บปวด อาจทำให้สูญเสียน้ำ โปรตีน และเกลือแร่ และติดเชื้อได้ง่าย

(3) บาดแผลดีกรีที่ 3 หมายถึง บาดแผลที่มีการทำลายของหนังกำพร้าและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อ ขุมขนเเละเซลล์ประสาท ผู้ป่วยมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดเเผล ผิวหนังทั้งชั้นจะหลุดลอกเห็นเป็นเนื้อแดง ๆ หรือแดงสลับขาว หรือเป็นเนื้อที่ไหม้เกรียม

มักเกิดจากไฟไหม้หรือถูกของร้อนนาน ๆ หรือไฟฟ้าช็อต

ถือเป็นบาดแผลที่ร้ายแรง อาจเกิดภาวะขาดน้ำหรือติดเชื้อรุนแรงได้ แผลมักจะหายยากและเป็นแผลเป็น

ในการเกิดบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกแต่ละครั้ง อาจมีบาดแผลที่มีความลึกขนาดต่าง ๆ กันในคนเดียวกันได้ และบางครั้งในระยะแรกอาจแยกบาดแผลดีกรีที่ 2 เเละ 3 ออกจากกันไม่ชัดก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ชนิดนี้ล้วนถือเป็นบาดแผลที่มีอันตรายรุนแรง และควรคิดเปอร์เซ็นต์ของผิวหนังที่เกิดบาดแผล

3. ตำแหน่ง บาดแผลบนใบหน้า อาจทำให้เป็นแผลเป็นและเสียโฉมได้มาก ถ้าถูกบริเวณตา อาจทำให้ตาบอดได้ แผลที่มือและตามข้อพับต่าง ๆ อาจทำให้ข้อนิ้วมือและข้อต่าง ๆ มีแผลเป็นดึงรั้ง ทำให้เหยียดออกไม่ได้

ถ้าสูดควันไฟเข้าไปในปอดระหว่างเกิดเหตุ อาจทำให้เยื่อบุของทางเดินหายใจเกิดการอักเสบ กลายเป็นหลอดลมอักเสบและปอดอักเสบ อาจรุนแรงจนหายใจไม่ได้ ถึงตายได้

บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก

 ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีภาวะขาดน้ำหรือการติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นอันตรายได้ นอกจากนี้อาจมีแผลเป็นขนาดใหญ่หรือแผลเป็นดึงรั้ง ทำให้แขนขาเหยียดออกไม่ได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าเป็นเพียงบาดแผลดีกรีที่ 1

ให้ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ ซับให้แห้ง แล้วทาด้วยครีมสเตียรอยด์ หรือเจลว่านหางจระเข้ขององค์การเภสัชกรรมบาง ๆ หรือทาด้วยปิโตรเลียมเจลลี่หรือน้ำมันมะกอก และให้ยาแก้ปวดถ้ารู้สึกปวด

2. ถ้าเป็นบาดแผลดีกรีที่ 2 หรือ 3

(1) แพทย์อาจรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลโดยเร็ว ในกรณีต่อไปนี้

    บาดแผลดีกรีที่ 3 มีขนาดมากกว่า 2 ฝ่ามือ (2%)
    บาดแผลดีกรีที่ 2 มีขนาดมากกว่า 10 ฝ่ามือ (10%) ในเด็ก หรือ 15 ฝ่ามือ (15%) ในผู้ใหญ่
    บาดแผลที่ตา หู ใบหน้า มือ เท้า อวัยวะสืบพันธุ์ ตามข้อพับต่าง ๆ
    บาดแผลในทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ
    สูดควันไฟเข้าไประหว่างเกิดเหตุ
    มีภาวะช็อก

(2) ถ้าไม่มีอาการดังกล่าวในข้อ (1) อาจให้การรักษาโดย

    ชะล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่
    ถ้ามีตุ่มพองเล็ก ๆ เพียง 2-3 ตุ่ม เกิดที่ฝ่ามือ ไม่ควรใช้เข็มเจาะ ให้ทาด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด (merthiolate) แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซ ตุ่มจะค่อย ๆ แห้งและหลุดล่อนไปเองใน 3-7 วัน
    ถ้ามีตุ่มพองที่แขนขา หลังมือ หลังเท้า หลังจากทำความสะอาดด้วยน้ำกับสบู่แล้ว ให้ใช้มีดหรือกรรไกรที่ทำให้ปราศจากเชื้อ (เช่น แช่ในแอลกอฮอล์แล้ว) เจาะเป็นรู แล้วใช้ผ้าก๊อซที่ปราศจากเชื้อกดซับน้ำเหลืองให้แห้ง ใช้โพวิโดนไอโอดีนหรือทิงเจอร์ใส่แผลสดทา แล้วพันด้วยผ้ายืดให้ผิวที่พองกดแนบสนิท ภายใน 2-3 วัน หนังที่พองจะหลุดล่อน
    ถ้ามีตุ่มพองเป็นบริเวณกว้าง ให้ใช้กรรไกรที่ทำให้ปราศจากเชื้อขริบเอาหนังที่พองออก แล้วล้างด้วยน้ำเกลือ ซับให้แห้ง แล้วทาด้วยครีมซัลฟาไมลอน (Sulfamylon) ขี้ผึ้งแบกตาซิน (Bactacin) น้ำยาโพวิโดนไอโอดีน ครีมซิลเวอร์ซัลฟาไดอาซีน (silver sulfadiazine) หรือพ่นด้วยสเปย์พรีเดกซ์ (Predex spray)

ถ้าเป็นบริเวณแขนหรือขา ให้ใช้ผ้าพัน

ถ้าเป็นที่หน้าหรือลำตัว ให้เปิดแผลไว้ ควรล้างแผลและใส่ยาวันละ 1-2 ครั้ง เมื่อดีขึ้นค่อยทำห่างขึ้น

    ให้พาราเซตามอลบรรเทาปวด ฉีดยาป้องกันบาดทะยัก และให้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่บาดแผลติดเชื้อ
    ถ้าบาดแผลลึก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)

การดูแลตนเอง

เมื่อเกิดบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ควรทำการปฐมพยาบาล และรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

การปฐมพยาบาล

เมื่อเกิดบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ควรทำการปฐมพยาบาล ดังนี้

1. สำหรับบาดแผลเล็กน้อย หมายถึง บาดแผลที่มีลักษณะเป็นรอยแดงคล้ายถูกแดดเผา มีอาการปวดแสบปวดร้อน และอาจมีอาการบวมเล็กน้อย (บาดแผลดีกรีที่ 1) หรือเป็นตุ่มพอง (บาดแผลดีกรีที่ 2) ขนาดเล็กน้อยและมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 8 เซนติเมตร

    รีบใช้น้ำเย็น หรือน้ำก๊อก ประคบบริเวณที่มีบาดแผล เพื่อลดอาการปวดแสบปวดร้อน และป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อถูกทำลายมากขึ้น

อาจใช้วิธีเปิดน้ำก๊อกให้ไหลชะรอยแผลอย่างต่อเนื่อง หรือแช่ในน้ำเย็น หรือใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น หรือใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำเย็นวางตรงบริเวณที่มีบาดแผล อย่างน้อย 20 นาที หรือจนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนทุเลาลง

    ถ้าเป็นรอยแดง ปวดแสบปวดร้อน หลังซับให้แห้งแล้วใช้วุ้นจากใบหางจระเข้ (เช่น เจลว่านหางจระเข้) หรือวาสลีนทาวันละ 2-3 ครั้ง (ควรทาเบา ๆ ระวังอย่าลูบหรือถูแรง ๆ อาจกระทบต่อผิวหนังที่บาดเจ็บอยู่ได้) ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ปิดแผล หรือผ้าก๊อซที่สะอาด
    ถ้าเป็นตุ่มพอง ไม่ควรเจาะออก ควรปล่อยให้แห้งและหลุดล่อนไปเอง (ถ้าตุ่มแตกเองให้ทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือล้างแผลหรือน้ำสะอาด) หลังซับให้แห้งปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ปิดแผลหรือผ้าก๊อซที่สะอาด แต่อย่าให้แน่นมาก
    ถอดเครื่องประดับ (เช่น แหวน กำไล) ออกจากปลายแขนหรือขาที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก หากปล่อยไว้จนมีอาการบวมแล้วจะถอดได้ยาก หรือทำให้เกิดอันตรายได้
    ถ้าปวดแผล กินพาราเซตามอล*

    ควรไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

1. มีอาการปวดมาก หรือกินยาแก้ปวดไม่บรรเทา
2. รอยแดงมีขนาดกว้างมาก หรือเป็นที่บริเวณใบหน้า หู ตา หรือตามข้อพับต่างๆ หรือพบในทารกหรือผู้สูงอายุ
3. ตุ่มพองมีขนาดใหญ่ หรือกินบริเวณกว้าง (มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 8 เซนติเมตร) หรือเกิดขึ้นที่บริเวณหู ตา ใบหน้า มือ เท้า ขาหนีบ ตามข้อพับต่าง ๆ อวัยวะเพศ หรือก้น
4. บาดแผลไม่หายใน 1 สัปดาห์ หรือตุ่มพองมีการอักเสบหรือเป็นหนอง
5. มีความวิตกว่าบาดแผลมีความรุนแรงเกินกว่าจะดูแลรักษาด้วยตนเอง

2. สำหรับบาดแผลที่รุนแรง หมายถึง บาดแผลลึก ผิวหนังทั้งชั้นหลุดลอกเห็นเป็นเนื้อแดง ๆ หรือแดงสลับขาว หรือเป็นเนื้อที่ไหม้เกรียม (บาดแผลดีกรีที่ 3) หรือเป็นตุ่มพอง (บาดแผลดีกรีที่ 2) ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 8 เซนติเมตร หรือ มีตุ่มพองเกิดขึ้นที่บริเวณหู ตา ใบหน้า มือ เท้า ขาหนีบ ตามข้อพับต่าง ๆ อวัยวะเพศ หรือก้น ควรรีบไปโรงพยาบาล

ควรให้การปฐมพยาบาลก่อนไปโรงพยาบาล ดังนี้

    เปลื้องเสื้อผ้าออกจากบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก หรือตัดออกเป็นชิ้น ๆ แต่ถ้าเสื้อผ้าติดกับบาดแผลแน่นก็ไม่ต้องดึงออก เพราะจะเจ็บมาก ควรใช้ผ้าสะอาดคลุม
    ให้ยกส่วนที่มีบาดแผลไว้ให้สูงกว่าระดับหัวใจ
    ถอดเครื่องประดับ (เช่นแหวน กำไล) ออกจากปลายแขนหรือขาที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก หากปล่อยไว้จนมีอาการบวมแล้วจะถอดได้ยาก หรือทำให้เกิดอันตรายได้
    ถ้าผู้ป่วยกระหายน้ำ หรือใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมงในการเดินทางไปถึงสถานพยาบาล ควรให้ผู้ป่วยดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรืออาจให้กินน้ำส้มคั้นใส่เกลือก็ได้ ควรให้ดื่มครั้งละ 1/4-1/2 แก้ว ทุก ๆ 15 นาที
    ควรใช้ผ้าสะอาดบาง ๆ คลุมร่างกายของผู้ป่วย และให้ผู้ป่วยนอนยกเท้าสูงเล็กน้อย
    ถ้าปวด ให้กินพาราเซตามอล*
    ถ้ามีภาวะช็อก (หน้าซีด เหงื่ออก ตัวเย็น หน้ามืด จะเป็นลม) ให้ทำการปฐมพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนอนราบศีรษะต่ำ หาอะไรมารองที่ใต้เท้า หรือยกเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจ ใช้ผ้าหนา ๆ หรือผ้าห่มคลุมหรือห่อตัวให้อบอุ่น รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือติดต่อรถพยาบาลมารับ

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยาจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

ควรหาทางป้องกันบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกโดย

    อย่าให้เด็กเล็กเล่นในห้องครัว
    อย่าวางกาน้ำร้อน หม้อน้ำแกง กระติกน้ำร้อน ตะเกียง ไม้ขีดหรือวัตถุอื่น ๆ ที่มีความร้อนไว้ใกล้มือเด็ก
    อย่าวางบุหรี่ ตะเกียง ใกล้ผ้าห่ม มุ้ง หรือสิ่งที่อาจติดไฟได้ง่าย

ข้อแนะนำ

1. การปฐมพยาบาลบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกที่แนะนำในปัจจุบันคือ รีบใช้น้ำเย็นประคบทันทีหลังเกิดเหตุ อย่าใช้ยาสีฟัน น้ำปลา หรือยาหม่องทา

2. บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกที่เกิดในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ถึงแม้จะมีขนาดไม่กว้างมาก แต่ก็อาจมีอันตรายมากกว่าที่พบในคนหนุ่มสาว ดังนั้นจึงควรแนะนำไปรักษาที่โรงพยาบาลทุกราย

3. บาดแผลที่ข้อพับ อาจทำให้เกิดแผลเป็นดึงรั้งข้อต่อให้คดงอ (เหยียดไม่ได้) สามารถป้องกันได้โดยใช้เฝือกดามข้อในบริเวณนั้นตั้งแต่แรก

4. ภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ ในระยะ 2-3 วันแรก คือ ภาวะขาดน้ำและช็อก ถ้ามีบาดแผลกว้าง แพทย์จะให้สารน้ำ ได้แก่ ริงเกอร์เเล็กเทต (Ringer’s lactate) น้ำเกลือและพลาสมา

ส่วนการติดเชื้ออาจเกิดขึ้นหลังจากมีบาดแผล 2-3 วันไปแล้ว (หรือหลัง 1 สัปดาห์) ถ้าบาดแผลมีขนาดกว้างก็มีโอกาสติดเชื้อรุนแรง

โดยทั่วไปถือว่าบาดแผลดีกรีที่ 2 ที่มีขนาดมากกว่า 30% และบาดเเผลดีกรีที่ 3 ที่มีขนาดมากกว่า 10% ถือเป็นบาดแผลรุนแรง รักษายากและมักจะมีอัตราตายสูง

5. ผู้ที่มีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ควรกินอาหารโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ เพราะร่างกายมีการสูญเสียโปรตีนออกไปทางบาดแผล

หลังบาดแผลหายใหม่ ๆ ควรระวังอย่าให้รอยแผลเป็นโดนแสงแดด ถ้าจำเป็นต้องออกกลางแดด ควรใส่เสื้อผ้าที่ปกคลุมรอยแผล หรือทายากันแดด จนกว่าผิวหนังจะฟื้นจนเป็นปกติดี

6. ถ้ามีบาดแผลถูกกรดหรือด่าง ควรให้การปฐมพยาบาล โดยรีบชะล้างแผลด้วยน้ำก๊อก นานอย่างน้อย 5 นาที แล้วส่งโรงพยาบาล แพทย์อาจให้การรักษาแบบเดียวกับบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก

12
หมอประจำบ้าน: ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)

ไข้หวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก และเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ จะติดเชื้อจากเพื่อนในห้องป่วยเป็นไข้หวัดได้บ่อยมาก

โรคนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ที่มีคนอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ และพบได้ตลอดทั้งปี มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง

ไข้หวัดจัดว่าเป็นโรคที่ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้ เนื่องเพราะมักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ด้วยการปฏิบัติตัวและการรักษาตามอาการ

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส (virus) มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดจากกลุ่มไวรัสหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มไวรัสไรโน (rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสโคโรนา (coronavirus) กลุ่มไวรัสอะดีโน (adenovirus) กลุ่มอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus/RSV) กลุ่มไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (parainfluenza virus) กลุ่มเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza virus) กลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) กลุ่มเชื้อเริม (herpes simplex virus) เป็นต้น แต่ละกลุ่มจะมีสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ เช่น ไวรัสโคโรนา มีสายพันธุ์เก่า 4 สายพันธุ์ ถึงปี 2563 มีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น 3 สายพันธุ์ รวมทั้งไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19

การเกิดโรคขึ้นในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อหวัดเพียงชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็จะเกิดจากเชื้อหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ มากขึ้น ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้น และมีอาการรุนแรงน้อยลงไป

เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด เนื่องจากเป็นฝอยละอองที่มีขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 ไมครอน) จึงกระจายออกไปได้ไม่ไกล คือภายในระยะไม่เกิน 1 เมตร จัดว่าเป็นการแพร่กระจายทางละอองเสมหะ (droplet transmission)

นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ เชื้อหวัดอาจติดที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม ของเล่น หนังสือ โทรศัพท์ เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนถูกฝอยละอองของผู้ป่วย เมื่อคนปกติสัมผัสถูกมือของผู้ป่วยหรือสิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคน ๆ นั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคน ๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้

ระยะฟักตัว (ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยรับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น) 1-3 วัน

อาการ

มีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหนักศีรษะเล็กน้อย คอแห้งหรือเจ็บคอเล็กน้อย คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ซึ่งมักจะมีน้ำมูกมากใน 2-3 วันแรก

น้ำมูกมีลักษณะใส บางรายหลังมีน้ำมูกใสได้ 2-3 วันน้ำมูกอาจมีลักษณะข้นขาว หรือเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ซึ่งมักพบในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า เนื่องจากเป็นน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกเป็นเวลานาน ตอนสาย ๆ ก็มักจะกลับกลายเป็นใส

ต่อมาอาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะสีขาว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณลิ้นปี่เวลาไอ ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียนเวลาไอ

ในผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงคัดจมูก น้ำมูกไหล

ในเด็กมักจับไข้ขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจมีไข้สูงและชัก ในทารกอาจมีอาการอาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย

ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ผู้ป่วยจะมีไข้ติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหล ติดต่อกันนานเกิน 10 วัน

ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทำให้มีไข้ หรือเป็นหวัดเรื้อรังนานกว่าปกติ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ดังนี้

    หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน มักพบในเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดหูมาก ในทารกจะมีอาการร้องงอแง เอามือดึงใบหูตัวเอง
    ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไข้ ปวดหน่วง ๆ ที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม มักมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวมีกลิ่นเหม็น
    ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน มีอาการเจ็บคอมาก กลืนลำบาก ตรวจพบทอนซิลบวมแดง เป็นหนอง
    กล่องเสียงอักเสบ มีอาการเสียงแหบ
    หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน มีอาการไอบ่อย มีเสลดที่ขึ้นมาจากหลอดลม
    หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน มีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน
    โรคหืดกำเริบ มีอาการหายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    ปอดอักเสบ มีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บหน้าอก หายใจหอบ หรือหายใจเร็ว

โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมักเกิดในผู้ป่วยที่ไม่ได้พักผ่อน ตรากตรำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ (เช่น ขาดอาหาร เป็นต้น) ในทารก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

มักตรวจพบไข้ น้ำมูก เยื่อจมูกบวมและแดง คอแดงเล็กน้อย ในเด็กอาจพบทอนซิลโต แต่ไม่แดงมากและไม่มีหนอง

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือสงสัยว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น (เช่น ไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ไข้เลือดออก) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด นำน้ำมูกหรือเสมหะไปตรวจหาเชื้อ เอกซเรย์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ให้ยารักษาตามอาการ ดังนี้

(1.1) สำหรับผู้ใหญ่ และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
    ถ้ามีอาการน้ำมูกไหล ใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก ไม่จำเป็นต้องใช้ยา ยกเว้นในรายที่มีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ให้กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็น โดยให้กินครั้งละ ½-1 เม็ด ถ้าไม่ทุเลาซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง ถ้าทุเลาแล้วให้หยุดยา*
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) บ่อย ๆ ถ้าไอมากลักษณะไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ ให้ยาระงับการไอ

(1.2) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี

    ถ้ามีไข้ ให้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม
    ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้ลูกยางเบอร์ 2 ดูดน้ำมูกออกบ่อย ๆ (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรใช้น้ำเกลือหยอดในจมูกก่อน) หรือใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่ง สอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรชุบน้ำสุก หรือน้ำเกลือพอชุ่มก่อน) แพทย์จะไม่ให้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก เนื่องเพราะมีผลเสีย (ผลข้างเคียงจากยา) มากกว่าประโยชน์ในการรักษาโรค
    ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมาก ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว** ถ้ามีอาการอาเจียนเวลาไอ ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้อาเจียน แนะนำให้ป้อนนมและอาหารทีละน้อย แต่บ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจะเข้านอน

2. ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้ เพราะนอกจากไม่ได้มีผลต่อการฆ่าเชื้อหวัดซึ่งเป็นไวรัส ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาได้

แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน, ร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น) ในรายที่มีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น

3. ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ให้งดยาแก้แพ้ลดน้ำมูกและยาระงับการไอ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)

4. ถ้ามีอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ (เด็ก อายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือมีไข้นานเกิน 4 วัน อาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะรุนแรงอื่น ๆ ได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น แล้วทำการรักษาตามสาเหตุที่พบ

5. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในจมูกหรือคอหอย และให้การดูแลรักษาตามสาเหตุที่พบ

6. ถ้าสงสัยเป็นไข้หวัดนก เช่น มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วัน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วัน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ถ้าเป็นจริงก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักหายได้ภายใน 7-10 วัน ส่วนน้อยที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อให้ยาปฏิชีวนะรักษาก็หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

*ยาแก้แพ้มีฤทธิ์ในการลดน้ำมูกในผู้ที่เป็นไข้หวัด ใช้เพียงเพื่อบรรเทาอาการให้สุขสบายเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น เนื่องจากยานี้อาจมีผลข้างเคียงได้หลายอย่าง จึงควรใช้บรรเทาอาการเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี (นอกจากไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการแล้ว ยังอาจเกิดโทษได้อีกด้วย) ผู้ที่เป็นต้อหิน โรคลมชัก โรคหืด หรือต่อมลูกหมากโต (มีอาการปัสสาวะลำบาก) ก็ไม่ควรใช้ยานี้เพราะอาจมีผลข้างเคียงทำให้โรคเหล่านี้กำเริบได้

**ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำผึ้งแก่ทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี เพื่อป้องกันการเกิดโรคโบทูลิซึม

การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งมั่นใจว่าเป็นไข้หวัดที่ไม่รุนแรง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป
    สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝน หรือถูกอากาศเย็นจัด และอย่าอาบน้ำเย็น
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
    ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    งดสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่
    ถ้ามีไข้สูง กินยาลดไข้-พาราเซตามอล (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)
    ถ้ามีน้ำมูกมาก สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ให้ใช้ลูกยางดูด หรือใช้กระดาษเช็ดออก

สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 6 ปี ใช้กระดาษเช็ดออก ถ้ามีน้ำมูกมากหรือจามมากจนทำให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก รู้สึกเหนื่อย หรือไม่สุขสบายอย่างมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงความจำเป็นและความปลอดภัยในการใช้ยาแก้แพ้ลดน้ำมูกบรรเทาอาการ

    ถ้าไอเล็กน้อย ให้จิบน้ำอุ่น น้ำมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ บ่อย ๆ ถ้าไอมาก ให้จิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี) หรือยาแก้ไอมะขามป้อม หรืออมยาอมมะแว้ง (ยกเว้นเด็กเล็ก) ถ้าไอมีเสมหะเหนียว ควรดื่มน้ำมาก ๆ
    ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    พบอาการไข้หรือไข้หวัดในทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน
    -    ทารกมีไข้ ร่วมกับร้องกวนงอแงมาก หรือเอามือดึงใบหูตัวเอง หรือมีไข้ขึ้นสูงกว่าวันแรก ๆ
    -    มีไข้สูงตลอดเวลา หรือมีไข้เป็นพัก ๆ ทุกวันติดต่อกันนานเกิน 4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย หรือหลังจากไข้หายแล้วไม่นานกลับมีไข้กำเริบใหม่
    -    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก นอนซม หรือซึมมาก
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บที่หน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    หายใจหอบ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีหายใจเร็วกว่าปกติ (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ปีหายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ปีหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที)
    -    มีอาการหอบหืดกำเริบ หรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ
    -    มีอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นเวลานานเกิน 10 วัน
    -    มีอาการไอนานเกิน 14 วัน หรือไอมีเสลดข้นเหลืองหรือเขียว
    -    มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
    -    สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก โรคโควิด-19 ไข้เลือดออก หรือไข้จากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ
    -    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยามีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    -    มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าสงสัยว่ามีอาการรุนแรง หรือไม่มั่นใจที่ดูแลตนเองตั้งแต่แรก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัด ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
    -    หายใจหอบ/หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือเจ็บหน้าอกมาก
    -    ไอเป็นเลือด หรือน้ำหนักลด
    -    ปวดหูมาก เจ็บหน้าอกมาก เจ็บคอมาก กลืนลำบาก หรือกินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย
    -    มีอาการปวดและกดเจ็บตรงหน้าผาก หัวตา หรือโหนกแก้ม
    -    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว และมีกลิ่นเหม็น
    -    มีอาการไข้นานเกิน 4 วัน มีน้ำมูกนานเกิน 10 วัน ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอนานเกิน 14 วัน
    -    ในกรณีที่แพทย์ให้กินยาปฏิชีวนะ ถ้ากินไป 4 วันยังไม่ทุเลา หรือทำยาหาย
    -    มีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น

การป้องกัน

1. หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น

2. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นไข้หวัด ควรปฏิบัติดังนี้

    ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูก
    อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
    อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เครื่องใช้ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
    ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย

ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาและป้องกันไข้หวัดอย่างได้ผล การรักษาอยู่ที่การพักผ่อนและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ยาที่ใช้ก็เป็นเพียงยาที่รักษาตามอาการเท่านั้น

ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดจากไวรัสส่วนใหญ่มักจะหายได้เองด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย และหายตามระยะของโรค โดยทั่วไป อาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วัน และอาการเป็นหวัด น้ำมูกไหลมักเป็นอยู่นาน 7-10 วัน ถ้ามีไข้เกิน 4 วัน หรือเป็นหวัดน้ำมูกไหลเกิน 10 วัน มักแสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ

ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายตัวร้อนแล้ว แต่ก็อาจมีน้ำมูกและไอต่อไปได้ บางรายอาจไอโครก ๆ อยู่เรื่อย อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) มักจะเป็นลักษณะไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาว ถ้าพบว่าผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ไม่ต้องให้ยาอะไรทั้งสิ้น ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ (ควรงดดื่มน้ำเย็น ถ้าดื่มแล้วทำให้ไอมากขึ้น)

2. ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ (ซึ่งชาวบ้านทั่วไปเข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบ) แก่ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดทุกราย ยกเว้นในรายที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียที่จำเป็นต้องใช้ยาชนิดนี้เท่านั้น

การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับไข้หวัดจากไวรัสไม่ได้ช่วยให้โรคหายไว หรือป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา ที่สำคัญ การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเกินจำเป็น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง (เช่น ท้องเดิน จุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย) แพ้ยา และอาจก่อโทษต่อร่างกาย เช่น ทำให้เชื้อโรคดื้อยา ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย ทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อน (เช่น ลิ้นเป็นโรคเชื้อรา ตกขาวจากเชื้อรา โรคท้องเดินชนิดรุนแรง เป็นต้น)

3. ผู้ที่เป็นไข้หวัด (ซึ่งมีอาการตัวร้อนร่วมด้วย) เรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย อาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจรั่วมาแต่กำเนิด ทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางอะพลาสติก โรคขาดอาหาร เป็นต้น จึงควรตรวจดูว่ามีสาเหตุเหล่านี้ร่วมด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ยังเกิดจากร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งอาจเกิดจากการนอนหลับพักผ่อนไม่พอ มีจิตใจเครียด หรือขาดการออกกำลังกาย หากพบว่าเกิดจากสิ่งเหล่านี้ ก็ควรแก้ไขให้ร่างกายแข็งแรง

4. เด็กเล็กที่เพิ่งฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือเข้าโรงเรียนในช่วง 3-4 เดือนแรก อาจเป็นไข้หวัดได้บ่อย เพราะติดเชื้อหวัดหลากชนิดจากเด็กคนอื่น ๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเรื่อย ๆ

เด็กที่เป็นไข้หวัดบ่อย แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน ถ้าไม่พบมีความผิดปกติ และเด็กมีพัฒนาการดี ก็จะอธิบายให้พ่อแม่เด็กเข้าใจ และแนะนำให้มียาลดไข้พาราเซตามอลไว้ประจำบ้านให้เด็กกินเวลาตัวร้อน ส่วนยาอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ ควรดูแลเรื่องอาหารการกิน หมั่นชั่งน้ำหนักตัว พอพ้น 3-4 เดือน อาการก็จะเป็นห่างไปเอง เนื่องจากร่างกายเริ่มมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหวัดมากชนิดแล้ว

5. ผู้ที่เป็นหวัดโดยไม่มีไข้ โดยมีน้ำมูกใสและจามบ่อย มักเกิดจากการแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือละอองเกสร มากกว่าที่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (ดู "หวัดภูมิแพ้")

6. ผู้ที่มีอาการไข้และมีน้ำมูก แต่ตัวร้อนจัดตลอดเวลา กินยาลดไข้ก็ไม่ค่อยทุเลา มักจะไม่ใช่เป็นไข้หวัดธรรมดา แต่อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น หัด ปอดอักเสบ หรือทอนซิลอักเสบ แพทย์จะตรวจดูอาการของโรคเหล่านี้อย่างละเอียด

นอกจากนี้ยังมีโรคติดเชื้ออื่น ๆ อีกหลายชนิด ที่ในระยะแรกอาจแสดงอาการคล้ายไข้หวัดได้ เช่น ไข้เลือดออก ไอกรน คอตีบ โปลิโอ ตับอักเสบจากไวรัส ไทฟอยด์ สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ เป็นต้น จึงควรติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ถ้าพบว่ามีไข้นานเกิน 4 วัน หรือมีอาการผิดไปจากไข้หวัดธรรมดา ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

7. อย่าซื้อหรือใช้ยาชุดแก้หวัดที่มียาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ผสมอยู่ด้วย นอกจากจะไม่จำเป็นแล้วยังอาจมีอันตรายได้

8. เมื่อเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก เพราะอาจทำให้เชื้อลุกลามเข้าหูและโพรงไซนัส ทำให้เกิดการอักเสบแทรกซ้อนได้

9. สำหรับเด็กเล็ก อย่าซื้อยาแก้หวัดแก้ไอสูตรผสมต่าง ๆ กินเอง เพราะอาจมีตัวยาเกินความจำเป็น จนอาจเกิดพิษได้ แม้แต่ยาแก้แพ้ แก้หวัด นอกจากจะไม่มีประโยชน์เท่าที่ควรแล้ว ยังอาจมีผลข้างเคียงต่อเด็กเล็กได้ ในการรักษากันเองเบื้องต้น ควรใช้ยาลดไข้พาราเซตามอลเพียงชนิดเดียวจะปลอดภัยกว่า

10. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


14
วิธีทำบุญให้เทวดาประจำตัว VS เจ้ากรรมนายเวร

วิธีทำบุญให้เทวดาประจำตัว วิธีทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ต้องใช้บทสวดใด และต้องแผ่เมตตาอย่างไรบ้าง เพื่ออุทิศส่วนกุศล และเพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ แก่ตัวเรา

ทำบุญให้เทวดาประจำตัว

วิธีทำบุญให้เทวดาประจำตัว

อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

วิธีทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร

อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

การทำทาน

มีน้ำใจให้คน สัตว์ อภัยทาน นับเป็นทานทั้งหมด

การรักษาศีล

การไม่เบียดเบียนผู้อื่น และตนเอง อย่างน้อยต้องศีล 5 ถ้าผิดศีลก็เริ่มใหม่ ไม่ต้องรู้สึกลำบากที่จะทำ

วิธีทำบุญลดเคราะห์กรรม พลิกชีวิตติดหนี้เป็นมีเงินพอกพูน

บางครั้งที่รู้สึกว่าชีวิตติดขัด เกิดความยากลำบาก มีอุปสรรคเข้ามาทำให้เรารู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ ทำอะไรก็ประสบผลงอกเงย การทำบุญลดเคราะห์กรรมก็เป็นความเชื่ออีกวิธีหนึ่ง เชื่อที่ว่าจะช่วยแก้ดวงได้ ขอแนะนำวิธีทำบุญลดเคราะห์กรรม พลิกชีวิตที่ติดหนี้ เป็นมีเงินพอกพูน ด้วย 5 วิธี ดังนี้

    ทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลา
    ทำบุญเกี่ยวกับมูลนิธิสัตว์ หรือให้อาหารสัตว์เร่ร่อน
    ทำบุญแก่คนยากไร้ หรือผู้ด้อยโอกาส
    ทำบุญสร้างสาธารณะประโยชน์
    ทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์และวัดวาอารามต่าง ๆ
    ทำบุญตักบาตรถวายสังฆทาน

15
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ส่งผลต่อการทำความสะอาดช่องปากและฟันหรือไม่

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะการจัดฟันแบบใส ได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษา ทำให้ผลการรักษามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการจัดฟันแบบใส ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้เข้ารับการรักษา การจัดฟันแบบใส เป็นที่นิยมในหมู่ดารา นักแสดง เพราะสามารถช่วยในเรื่องของการส่งเสริมบุคลิกภาพ ทำให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะกระทบต่อการพูด การออกเสียง

ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักจะพบได้บ่อยในกลุ่มผู้เข้ารับการจัดฟันแบบที่มีการติดตั้งเครื่องมือการจัดฟันภายในช่องปาก รวมไปถึงเรื่องของการรับประทานอาหารก็สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย ไม่ต้องกังวลว่าเศษอาหารจะเข้าไปติดอยู่ภายในซอกเหล็กจัดฟัน เพราะการรับประทานอาหารของผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถรับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวล สำหรับการจัดฟันแบบใส หลายคนที่อยากเข้ารับการจัดฟันแบบใส อาจจะมีข้อกังวลถึงการปฏิบัติตัวขณะเข้ารับการจัดฟัน ว่า จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร และการเข้ารับการจัดฟันนั้น ส่งผลทำให้เราทำความสะอาดช่องปากยากขึ้นหรือไม่ ต้องบอกว่า การจัดฟันแบบใส เรามีจุดเด่นในเรื่องของการถอดเครื่องมือเข้าออกได้อย่างง่ายดาย และสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหารและขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน

วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันแบบใส ว่า ส่งผลกระทบต่อการทำความสะอาดช่องปากและฟันหรือไม่ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ใครที่เคยผ่านการจัดฟันแบบที่มีการติดเครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่น หรือที่เรียกว่า ใส่เหล็กจัดฟัน ในเรื่องของการทำความสะอาด ก็สามารถทำได้ยาก เพราะด้วยเครื่องมือที่ทันตแพทย์ได้ทำการติดอยู่บนผิวฟัน อาจจะทำให้การทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ทั่วถึง นั่นคือข้อเสียของการจัดฟันแบบติดเครื่องมือแบบติดแน่น

เพราะถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟันทำความสะอาดฟันได้ไม่สะอาดเท่าที่ควร อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ ในทางกลับกัน สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส ที่ต้องถอดเครื่องมือการจัดฟันแบบใสออกก่อนการทำความสะอาดช่องปากและฟัน แน่นอนว่า การทำความสะอาดจะมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบทั่วไปที่สวมใส่เหล็กจัดฟัน เพราะการจัดฟันแบบใส การที่เราสามารถถอดเครื่องมือออกได้ ก็จะทำให้เราแปรงฟันได้อย่างทั่วถึง และสะอาดมากยิ่งขึ้นโดยไม่มีอุปสรรค แถมการจัดฟันแบบใส ยังช่วยเสริมสร้างในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการจัดฟันอีกด้วย

หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส หรือกำลังลังเลที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันแบบใส และคลินิกของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง Invisalign ให้สามารถให้บริการทางด้านการจัดฟันแบบใส ได้อย่างมีมาตรฐานและความปลอดภัย จึงทำให้มั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น มีฟันที่เรียงตัวสวยงาม มีบุคลิกภาพที่มั่นใจมากขึ้นได้อย่างแน่นอน

หน้า: [1] 2 3 ... 46





























































ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
ไม่รู้จะขายอะไรดี
อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์

โปรโมทเพจร้านค้า
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี

วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
ทำ SEO ติด Google
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย