แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 30
1
motor show 2025: ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Sport Nightster ปี 2024
513,000 บาท

ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Sport Nightster ปี 2024
Nightster คือ ตัวแทนที่สืบทอดรากฐานมาจากรุ่น Sportster ที่มีจุดเริ่มต้นเมื่อ 65 ปีก่อน เหมาะกับนักขับขี่ทุกแนว เด่นด้วยน้ำหนักเบา มาพร้อมเครื่องยนต์ทรงพลังแสดงถึงสมรรถนะระดับกลาง ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวสำหรับทั้งทางเรียบและทางคดเคี้ยว ท่าขี่แบบ middle control และแฮนด์บาร์แบบต่ำช่วยให้ผู้ขับขี่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สะดวกสบายและอยู่ตรงกลางของรถมอเตอร์ไซค์ และด้วยเบาะที่นั่งต่ำบวกกับรูปทรงหน้ารถที่เพรียว จึงทำให้ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่สามารถวางเท้าราบกับพื้นได้อย่างมั่นใจในขณะจอด . หัวใจสำคัญของ Nightster คือ เครื่องยนต์ Revolution Max 975T ใหม่ล่าสุด เครื่องยนต์แบบ V-Twin 60 องศา ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ให้แรงบิดในรอบที่กว้าง และสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มอัตราเร่งที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง

รายละเอียดเบื้องต้น
  แบรนด์          Harley-Davidson
  รุ่น              ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Sport Nightster ปี 2024
  ประเภทรถ        รถครูสเซอร์-ชอปเปอร์, Sport Bigbike
  ปีที่เปิดตัว        2024
  ราคา            513,000 บาท

สเปค
  รูปแบบเกียร์      เกียร์ธรรมดา
  ระบบเกียร์        6 ระดับ
  รายละเอียดเครื่องยนต์  Revolution Max 975T
  ระบบระบายความร้อน    น้ำ
  ระบบสตาร์ท        สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
  ขนาดเครื่องยนต์ (CC) 975 CC
  แบบเครื่องยนต์      4 จังหวะ
  ระบบจุดระเบิด
  ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง  เบนซิน 95
  ระบบจ่ายน้ำมัน      หัวฉีด (ระบบฉีดเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์แบบต่อเนื่อง (ESPFI))
  ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)  11.7 ลิตร
  ระบบกันสะเทือน      ล้อหน้า โช้คมาตรฐานแบบ Dual Bending Valve ของ SHOWA™ ขนาด 41 มม. ทริปเปิลแคลมป์ชุดตะเกียบอะลูมิเนียม, ล้อหลัง ระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นโช้คอัพแบบคู่ติดตั้งภายนอกด้วยเทคโนโลยีอิมัลชันแบบต่อตรง (ไม่มีการเชื่อมโยง) พร้อมคอยล์สปริงและปลอกคอเกลียวสำหรับปรับพรีโหลด

  ระบบเบรค          ล้อหน้า ดิสก์เบรก (จานเบรกเดี่ยวแบบลอย ติดตั้งตรงกลาง), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (จานเบรกดันแบบขยายตัวสม่ำเสมอ)
  แบบวงล้อ          aluminum
  ขนาดยาง          ล้อหน้า 100/90-19 57H, ล้อหลัง 150/80B16 77H
  ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)  2,250 X - X 705
  น้ำหนักตัวรถ              221.00 กก.


2
บริหารจัดการอาคาร: ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับแอร์ ที่ยิ่งทำ ค่าไฟยิ่งพุ่ง

เมื่อถึงช่วงหน้าร้อน หลายบ้านคงมีค่าไฟที่พุ่งกระฉูด เพราะอากาศในบ้านเราที่ร้อนระอุก็ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกเข้ามาช่วย นั่นก็คือ เครื่องปรับอากาศ หรือที่เราเรียกกันว่า แอร์ ซึ่งจริง ๆ แล้วที่ค่าไฟแพง อาจไม่ได้เป็นเพราะเปิดแอร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการใช้แอร์แบบผิดๆ หรือมีความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการใช้แอร์

ที่ทำให้เปลืองไฟและจะทำให้แอร์พังได้ง่าย ซึ่งต้องบอกว่า แอร์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้นั้น มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมาก บางบ้านอาจจะใช้งานแอร์มาเป็น 10 ปีโดยที่ไม่มีการเสียหาย หรือบางบ้านที่เพิ่งติดตั้งแอร์ไป แต่ใช้ไปไม่ทันไร แอร์ก็ไม่เย็นซะแล้ว ซึ่งต้องบอกว่า แอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องได้รับการบำรุงรักษาตลอดการใช้งาน

ซึ่งเราต้องยอมรับในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เพราะถ้าหากไม่รักษาความสะอาดของแอร์ แน่นอนว่า แอร์จะมีปัญหาอย่างแน่นอน และอาจจะทำให้สุขภาพของคนในบ้านเสียได้อีกด้วย เนื่องจากได้รับอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึง การใช้แอร์แบบไหนที่ทำให้เปลืองพลังงานและต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าเดิม

แล้วจะประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อนได้อย่างไรบ้าง ถ้าจำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศทุกวันแบบนี้ เพราะถ้ายังมีความเชื่อผิดๆแบบนี้ แน่นอนว่า เราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

 เชื่อว่า หลายคนยังมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการใช้งานแอร์อยู่ บางคนคิดว่า แอร์เก่าที่ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ แม้จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าระบบภายในของแอร์นั้น มีความเสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน ยิ่งแอร์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 15 ปีขึ้นไป

ยิ่งจะต้องมีการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในเรื่องของการซ่อมบำรุง อีกทั้งแอร์ประเภทนี้ยังเปลืองไฟมากกว่าปกติอีกด้วย ดังนั้นเมื่อคำนวณถึงความประหยัดแล้ว การเปลี่ยนแอร์ใหม่ย่อมสามารถช่วยประหยัดในระยะยาวได้มากกว่า

นอกจากนี้ หลายคนยังเข้าใจเรื่องของค่า BTU แบบผิดๆ เพราะคิดว่ ายิ่งมีค่าสูงจะยิ่งทำให้บ้านเย็น แต่นั่นเป็นเพียงความเข้าใจผิด เพราะค่า BTU ที่สูงหรือต่ำจนเกินไปจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักและกินไฟมากขึ้น จึงควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับขนาดห้องที่ใช้งาน เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้ค่าไฟพุ่งกระฉูดเลยทีเดียว

ต่อมาในเรื่องของการเลือกตำแหน่งในการติดตั้งแอร์ให้เหมาะสม ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดการทำงานของแอร์ได้ จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ไม่มากก็น้อย โดยตำแหน่งที่เหมาะสมสำคัญติดตั้งเครื่องปรับอากาศคือ บริเวณที่โล่ง ไม่เป็นมุมอับ หรือบริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดจัดโดยตรง รวมทั้งไม่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศใกล้กับประตูหรือหน้าต่าง รวมไปถึงความเข้าใจผิดที่ว่า

การเปิดทั้งเครื่องปรับอากาศและพัดลมไปด้วยกัน จะยิ่งทำให้เปลืองไฟ แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะการเปิดพัดลมจะช่วยทำให้ความเย็นกระจายไปทั่วถึงทั้งห้อง ช่วยลดอุณหภูมิห้องลง 1-2 องศา และที่สำคัญช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศได้อีกด้วย แนะนำให้เปิดแอร์ 26 องศา แต่หากต้องการความรู้สึกเย็นสบายเท่ากับ 24 องศา ให้เปิดพัดลมช่วย

โดยไม่ต้องลดอุณหภูมิของแอร์ การเปิดแอร์พร้อมพัดลม ประหยัดไฟได้มากกว่าการลดอุณหภูมิของแอร์ เพราะพัดลมช่วยเพิ่มความเร็วลม เพิ่มการเคลื่อนที่ของอากาศ ทำให้เกิดการระบายความร้อนจากร่างกาย ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น โดยที่อุณหภูมิห้องยังคงเท่าเดิม อย่างไกร็ตาม เชื่อว่า หลายบ้านมักจะเปิดแอร์อยู่ที่อุณหภูมิ 25 องศา

ช่วยประหยัดไฟ แม้ว่าการเปิดเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิ 25 องศาเป็นวิธีที่ดีและถูกต้องในการช่วยประหยัดไฟฟ้า แต่การดูแลตัวเครื่องซ่อมแซมและทำความสะอาด อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศประหยัดไฟไปได้ในตัว ทั้งหมดนี้คือความเข้าใจที่ผิดๆ ในการใช้แอร์ ดังนั้น ควรเปลี่ยนความเข้าใจใหม่ เพื่อให้เราสามารถใช้งานแอร์ได้อย่างถูกต้องและช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้เป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

 อย่างไรก็ตาม ทางเราก็มีบริการซ่อมบำรุง มีบริการการดูแลภายในอาคารและพื้นที่โดยรอบจำเป็นต้องตรวจตราและหมั่นดูแล อย่างสม่ำเสมอตลอดการบริการ การที่องค์กรใช้บริษัทที่หลากหลายเข้า มาดูแลบริการด้านต่าง ๆ นั้น อาจทำให้องค์กรสิ้นเปลืองงบประมาณเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในเรื่องของการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะ ใช้ชีวิตในภายในอาคาร และถ้าภายในอาคารนั้นมีผู้ป่วยอยู่ด้วยก็ยิ่งเป็นการสะสมของฝุ่นจนทำให้เกิดเป็นเชื้อรา และส่งผลต่อสุขภาพและเกิดโรคต่างๆได้

3
ดอกบัวอบแห้ง: ดอกไม้ไหว้พระ ศรัทธาที่มาพร้อมความเชื่อ

ในวันพระใหญ่ เช่น "วันมาฆบูชา" ที่เป็นถือว่าวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เหล่าพุทธศาสนิกชนต่างพากันเข้าวัดทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเอง นอกจากอาหาร หรือเครื่องสังฆทานที่นำมาถวายพระแล้ว ยังมีดอกไม้ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะดอกไม้เป็นเครื่องหมายแห่งความสดชื่นแจ่มใส และรุ่งเรือง

วันนี้จะมาบอกถึงหลักการใช้ดอกไม้ในการไหว้พระ และบอกความหมายในแต่ละดอกว่าแสดงถึงอะไรบ้าง

ความเชื่อกับการถวายดอกไม้

การที่เรานำดอกไม้ไปบูชาพระนั้น มีความเชื่อว่า ดอกไม้ที่เราเลือกใช้บูชาพระนั้นจะต้องเป็นดอกไม้ที่สด ใหม่ และสวยงาม จึงต้องมีความพิถีพิถันในการเลือกดอกที่งดงามเป็นพิเศษเพื่อมาถวายหรือบูชาต่อพระ โดยเชื่อว่าดอกไม้ถวายพระจะต้องงาม ๆ เพื่อที่จะช่วยให้ชีวิตเราสวยงามตามไปด้วยดั่งดอกไม้ หากเราเลือกดอกไม้ที่เหี่ยวเฉามา ชีวิตก็โรยราตามดอกไม้ด้วยเช่นกัน

การบูชาด้วยดอกไม้ต่าง ๆ

    บุคคลที่บูชาด้วยดอกไม้ที่มีสีสวย
    เช่น บูชาพระด้วยดอกไม้พลาสติก หรือดอกไม้ประดิษฐ์ ต่อไปในภายหน้าผู้นั้นจะได้อะไรก็ล้วนแต่มีรูปร่างลักษณะดีมีรูปสวย แต่คุณภาพไม่ดี ดังสุภาษิตว่า สวยแต่รูป จูบไม่หอม
    บุคคลที่บูชาพระด้วยดอกไม้มีกลิ่นหอม
    ต่อไปในภายหน้าผู้นั้นจะได้อะไรก็ล้วนมีคุณภาพดี แต่รูปร่างลักษณะไม่สวย ไม่งดงาม ดังสุภาษิตว่า ถึงรูปชั่วตัวดำแต่น้ำใจดี
    บุคคลที่บูชาพระด้วยดอกไม้กำลังสดชื่น
    ต่อไปในภายหน้าผู้นั้นจะได้อะไรก็ล้วนแต่เป็นของใหม่ๆ ไม่ต้องใช้ของที่ผู้อื่นใช้แล้ว
    บุคคลที่บูชาพระด้วยดอกไม้ที่บอบช้ำเหี่ยวแห้ง
    ต่อไปในภายหน้าผู้นั้นจะได้อะไรก็ล้วนแต่เป็นของเก่าๆ เหี่ยวๆ แห้งๆ เป็นของที่ผ่านมือผู้อื่นมาแล้ว

ความหมายของดอกไม้แต่ละชนิด

ดอกบัว
พบแต่ความสำเร็จ เป็นไม้มงคลเปี่ยมด้วยคุณค่าและเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ พลังสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่มีความนิยมมากที่สุด

ดอกดาวเรือง
พบแต่ความรุ่งเรืองเสริมให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า มีเงินมีทอง

ดอกพุด
จะส่งผลให้มีความเจริญ มั่นคง แข็งแรงสมบูรณ์ ควรใช้เป็นดอกพุดชนิดสีขาว

ดอกกล้วยไม้
พบแต่ความสำเร็จ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงมิตรภาพ ความงดงาม ความบริสุทธิ์

ดอกเบญจมาศ
มีความหมายถึง ความยั่งยืน

ดอกพุดตาน
หรือคนไทยมักเรียกว่า ดอกไม้สามสี หมายถึง ความพร้อมด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ยศศักดิ์

ดอกมะลิ
พบแต่ความสุขสดชื่น ไม่ว่าจะเป็นมะลิซ้อนหรือมะลิลา ก็เป็นสิริมงคลในด้านทำให้คนในบ้านมีความบริสุทธิ์ มีความรักความคิดถึงแก่บุคคลทั่วไป

ดอกรัก
พบแต่ความรักที่เปี่ยมด้วยความสุข

ดอกจำปี
จะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง การงานก้าวหน้า

ดอกบานไม่รู้โรย
จะช่วยเสริมด้านความรักของผู้อยู่อาศัยและคู่รักให้ผูกพันมั่นคงต่อกัน

ดอกลิลลี่
พบแต่ความน่ายินดีในทุกเรื่อง

4
รวมความเข้าใจผิด “โรคเบาหวาน” เปลี่ยนวิธีคิด ช่วยป้องกันได้

ถ้าเอ่ยถึง “โรคเบาหวาน” แล้ว เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะปัจจุบันโรคเบาหวานของประชากรทั้งโลกนั้น ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเลยทีเดียว โดยข้อมูลจากสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ หรือ IDF เผยว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเบาหวานรวมทั้งสิ้นมากกว่า 400 ล้านราย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เราก็ยังพบว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงภัยเงียบของโรคนี้เท่าที่ควร

ในขณะเดียวกันก็มักมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่หลายประการด้วย จึงยิ่งทำให้โอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองและคนรอบข้างจากโรคเบาหวาน รวมถึงทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถดูแลตัวเองให้อยู่กับโรคได้อย่างมีคุณภาพ และมีความสุข วันนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจโรคเบาหวาน ผ่าน ความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้ชีวิตเสี่ยงอันตรายมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว !!!

 
ยารักษาโรคเบาหวาน คือตัวการทำให้ไตเสื่อมเร็ว

ถือเป็นความเชื่อที่ “ไม่ถูกต้อง” เพราะแท้จริงแล้ว ตัวการที่ทำให้ไตเสื่อมไวพังเร็วนั้น ก็คือ “ภาวะโรคเบาหวาน” ต่างหาก เพราะคนที่เป็นโรคเบาหวาน จะมีน้ำตาลในเลือดสูง ความหนืดของเลือดเพิ่มมากขึ้น ทำให้การกรองของเสียของไตทำงานเพิ่มขึ้น น้ำตาลในปัสสาวะที่สูงมากทำให้ไตไม่สามารถดูดกลับมาได้ทั้งหมด บางส่วนจึงถูกขับออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้นไปอีก ในผู้ป่วยบางรายอาจมีโปรตีนรั่วร่วมด้วย สังเกตได้จากปัสสาวะมีฟองมากขึ้น หากทิ้งระยะนี้ไว้โดยไม่ได้รักษาจะทำให้การกรองของไตค่อยๆ ลดประสิทธิภาพลง จนกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ไตเสื่อมในที่สุดนั่นเอง

โดยปกติแล้วเวลาที่ผู้ป่วยเบาหวานมาติดตามการรักษาตามนัด แพทย์จะมีการตรวจค่าไตเป็นระยะสม่ำเสมอ เพื่อปรับขนาดยาลดเพิ่ม ให้เหมาะสมกับค่าไตของคนไข้แต่ละราย ดังนั้นยารักษาโรคเบาหวาน จึงไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ไตเสื่อม แต่ตัวการสำคัญก็คือโรคเบาหวานเอง ยิ่งหากผู้ป่วยไม่ดูแลตัวเองให้ดี ไม่คุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี ก็จะยิ่งมีโอกาสทำให้ไตเสื่อมได้เร็วมากยิ่งขึ้น

 
มีแต่คนแก่สูงวัยเท่านั้น ที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

นับเป็น “ความเชื่อที่ผิด” อย่างรุนแรง ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ระวังจนมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น เพราะคนทุกเพศทุกวัยก็สามารถป่วยเป็นโรคเบาหวานได้หมด โดยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะสามารถพบได้ตั้งแต่เด็กอายุน้อยๆ เป็นเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ซึ่งอินซูลินจะเป็นสารหลักที่ดึงเอาน้ำตาลไปใช้ ดังนั้น เมื่อไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ก็จะทำให้เกิดน้ำตาลค้างสะสมในกระแสเลือดจนกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด

ในขณะที่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายยังผลิตอินซูลินได้ แต่เกิดภาวะดื้ออินซูลินส่งผลให้อินซูลินทำงานได้ไม่ดี ทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงตามมา เบาหวานชนิดที่ 2 นี้จะพบมากในคนที่มีอายุมากขึ้น ส่วนใหญ่จะพบในคนที่มีความเสี่ยงอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำหนักตัวมาก ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

กล่าวโดยสรุปก็คือ เบาหวานเป็นโรคที่พบได้ในคนทุกวัย และมีแนวโน้มพบในคนอายุน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากพฤติกรรมของคนในปัจจุบันที่รับประทานอาหารจำพวก แป้ง-น้ำตาลมากขึ้น และขาดการออกกำลังกาย ทำให้เกิดน้ำตาลสะสมในเลือดสูงขึ้นจนกลายเป็นโรคเบาหวานไปในที่สุด

 
ทานของหวานมากเกินไป จะทำให้เป็นโรคเบาหวาน

สำหรับคนที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว เช่น มีภาวะโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง มีประวัติพ่อแม่ หรือญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน จะถือว่ามีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนทั่วไป หากรับประทานของหวานมากเกินความต้องการของร่างกาย แต่ถึงแม้ว่าเราจะมีความเสี่ยงสูงแต่ถ้าควบคุมอาหารได้ดี หลีกเลี่ยงการรับประทานแป้งและน้ำตาลในปริมาณมาก เราก็จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานน้อยลง เนื่องจากการเป็นเบาหวานไม่ได้ขึ้นอยู่กับของหวาน 100% เพราะต่อให้เราไม่กินของหวาน แต่เราทานอาหารประเภทข้าว แป้งหรือไขมันมากจนเกินไป ก็อาจทำให้เกิดโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกิน ซึ่งจะส่งผลทางอ้อมให้ร่างกายดื้ออินซูลิน และทำให้เป็นเบาหวานได้ในที่สุด แม้จะไม่ได้กินของหวานมากก็ตาม

 
ใครๆ ก็เป็นโรคเบาหวานกัน ดังนั้น จึงไม่ใช่โรคร้ายที่น่ากลัว

เบาหวานถือเป็นหนึ่งใน “โรคอันตรายที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆในโลก” เลยก็ว่าได้ เพราะเบาหวานอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง โดยแบบเฉียบพลันที่เราทราบกันดี ก็คือ น้ำตาลในเลือดสูงมากจนทำให้หมดสติ ซึม เกิดภาวะเลือดเป็นกรด อันนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตในที่สุด

ส่วนในกรณีที่เป็นแบบเรื้อรัง ก็มักจะเป็นเรื่องของหลอดเลือดที่ผิดปกติ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ แล้วก็เส้นเลือดที่เท้าตีบ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นกับกลุ่มหลอดเลือดใหญ่ ส่วนที่เป็นเส้นเลือดขนาดเล็ก ก็อาจเกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต แล้วก็เส้นประสาทเสื่อม เป็นต้น


ดังนั้นเบาหวานจึงเป็นโรคอันตรายที่ทุกคนควรตระหนักและป้องกัน โดยความอันตรายหลักๆ ของเบาหวานจะอยู่ที่ การทำให้เส้นเลือดเสื่อมสภาพ ทำให้การบีบและคลายตัวของเส้นเลือดผิดปกติ เกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ง่าย จนกลายเป็นสาเหตุของโรคร้ายที่ทำให้เสียชีวิตได้!

 
เป็นโรคเบาหวาน ห้ามรับประทานของหวานโดยเด็ดขาด

ต้องบอกว่า “ไม่ถูกต้องเสมอไป” โดยผู้ป่วยเบาหวานที่ยังคุมน้ำตาลได้ไม่ดี หรือผู้ป่วยเบาหวานที่เพิ่งเป็นใหม่ๆ แนะนำให้ “งด” คือหยุดรับประทานของหวานไปก่อน เพื่อให้สามารถรักษาโรคและคุมระดับน้ำตาลให้ได้ ส่วนกรณีผู้ป่วยที่คุมระดับน้ำตาลได้ดีแล้ว สามารถรับประทานของหวานได้ แต่แนะนำเป็นการ “ทานแบบแลกเปลี่ยนอาหาร” เช่น ในกรณีที่เราอยากทานขนมหวานมื้อไหน ก็ควรลดแป้ง ลดคาร์โบไฮเดรตในมื้อนั้นๆ ลง เพื่อให้เป็นการแลกเปลี่ยนกัน เพราะในแป้งก็มีน้ำตาล ของหวานก็มีน้ำตาล ถ้าเราทานคู่กัน ก็จะยิ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ ดังนั้น เราจึงควรลดแป้งลงหากอยากทานของหวาน เพื่อให้สามารถคุมโรคและระดับน้ำตาลของตัวเองได้ดี

นอกจากนี้ การทานแบบแลกเปลี่ยนยังจะช่วยทำให้เราได้ทานอาหารได้อย่างมีความสุขมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมของร่างกายมากกว่า เพราะการคุมอาหารที่เข้มงวดมากเกินไป อาจส่งผลต่อสภาพจิตใจจนทำให้เป็นผลเสียต่อร่างกายได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ใช้วิธีแลกเปลี่ยนอาหารบ่อยๆ เพราะอาจทำให้ติดรสหวานจนควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี

 
ห้ามบริจาคเลือดให้ใคร ถ้าถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน

ในความเป็นจริงแล้วคนเป็นเบาหวานสามารถบริจาคเลือดได้ เพียงแต่มีข้อควรระวัง คือ ต้องบริจาคเมื่อสภาพร่างกายพร้อมเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคเบาหวานจะมีโรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจตีบ การบริจาคเลือดจึงอาจทำให้โรคแทรกซ้อนดังกล่าวกำเริบ หรือแสดงอาการที่ส่งผลเสียต่อร่างกายได้


เลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ไม่ใช่เลือดที่ไร้ประโยชน์ สามารถนำไปใช้ได้ทั้งพลาสม่า เกล็ดเลือด หรือเม็ดเลือดขาว ดังนั้น คนเป็นเบาหวานจึงบริจาคเลือดได้ และเลือดที่บริจาคไปก็ใช้ประโยชน์ได้ แต่จะต้องให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่พร้อมสมบูรณ์เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเอง

 
ฉันผอม ฉันไม่อ้วน ฉันปลอดภัย ไม่ต้องหวั่นใจว่าจะเป็นโรคเบาหวาน

จริงอยู่ที่ว่าคนอ้วนมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนปกติทั่วไปถึง 50% เพราะภาวะอ้วนจะทำให้ร่างกายดื้ออินซูลิน เกิดน้ำตาลสะสมในเลือดจนกลายเป็นเบาหวานในที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ “ไม่ได้หมายความว่าคนผอม คนไม่อ้วนจะเป็นโรคเบาหวานไม่ได้” เพราะหากเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินไม่ได้ อันนี้ต่อให้ไม่อ้วนก็เป็นเบาหวานได้เช่นกัน


หรือเราอาจพบการเป็นเบาหวานได้จากกรณีอื่นๆ เช่น ถ้าพ่อกับแม่เป็นเบาหวานทั้งคู่ ลูกก็อาจเป็นเบาหวานได้ โดยเป็นได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ เลย เพราะเบาหวานเป็นโรคที่ส่งต่อได้ทางพันธุกรรม หรือเกิดตับอ่อนอักเสบเรื้อรังจากแอลกอฮอล์ทำให้การสร้างอินซูลินผิดปกติไป ดังนั้น อย่าชะล่าใจว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่มีโอกาสเสี่ยงเป็นเบาหวาน

 
ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ฉีดอินซูลินรักษา แสดงว่าเข้าขั้นโคม่าอาการหนัก

การใช้อินซูลิน คือ วิธีการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้อง “อาการหนัก” ถึงจะฉีดอินซูลิน เพราะการฉีดอินซูลินรักษา จะพิจารณาตามความเหมาะสมของแพทย์ อย่างในกรณีผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ หรือเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 แล้วมีโรคตับ โรคไตเรื้อรังร่วมด้วย ไม่สามารถทานยาบางชนิดได้ หรือทานยาแล้วแต่ยังควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีพอ แพทย์ก็จะพิจารณาใช้การฉีดอินซูลินเข้าช่วย ไม่ได้จำเป็นว่าต้องอาการหนัก จึงฉีดอินซูลินรักษา

 
น้ำตาลจากผลไม้ กินดี กินได้ ไม่อันตราย ไม่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

ต้องทำความเข้าใจให้ชัดกันตรงนี้เลยว่า “น้ำตาลจากผลไม้ก็ส่งผลต่อความเสี่ยงทำให้เป็นโรคเบาหวานได้” เช่นกัน เพราะในผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำตาลฟรุกโตสซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้ ดังนั้น การรับประทานน้ำตาลฟรุกโตสในปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายเผาผลาญได้ ก็จะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และอาจทำให้เกิดไขมันเกาะตับได้มากกว่ากลูโคสอีกด้วย ดังนั้นควรทานผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม และเลือกทานผลไม้ที่น้ำตาลน้อย อย่างแอปเปิ้ล ชมพู่ แก้วมังกร ฝรั่ง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ที่รสไม่หวานจัด จึงเป็นทางเลือกที่ดี มีประโยชน์ ให้วิตามินและไฟเบอร์ อีกทั้งยังปลอดภัยกับร่างกายมากกว่า

 
แป้งและน้ำตาลเท่านั้น ที่ทำให้เป็นโรคเบาหวาน

ไม่จริงเสมอไป เนื่องจากอาหารประเภทไขมันและโปรตีน ก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า หากทานอาหารดังกล่าวเป็นปริมาณมาก ร่วมกับมีความเสี่ยงอื่นๆ เช่น โรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์จนเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ความดันโลหิตสูง มีคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน แม้จะไม่ทานแป้งหรือน้ำตาลก็สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานได้เช่นกัน ดังนั้น หากต้องการให้ตัวเองปลอดภัยห่างไกลจากเบาหวานจริงๆ ก็ต้องดูแลภาพรวมของการรับประทานให้ดี คุมความเสี่ยงให้ดี ไม่ให้ตัวเองอ้วน จึงจะปลอดภัย

 
โรคเบาหวานรักษาหายได้ ด้วยสมุนไพร ไม่จำเป็นต้องใช้ยา

สมุนไพรบางตัวมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง เช่น หนานเฉาเหว่ย รางจืด ปอกะบิด เป็นต้น แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วมักเป็นการทำการศึกษาในสัตว์ทดลองหรือทดลองในวงเล็กๆ ที่ไม่ได้ทำกันทั่วโลก จึงทำให้เราไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่าต้องทานปริมาณเท่าไร จึงจะสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเกณฑ์ และไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรในผู้ที่มีโรคตับ โรคไตเรื้อรัง ว่าต้องปรับขนาดอย่างไร สามารถรับประทานต่อเนื่องได้หรือไม่ อีกทั้งไม่ทราบผลข้างเคียงของสมุนไพรเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน ดังนั้นการรักษาโรคเบาหวานที่ดีและปลอดภัยที่สุดนั้น จึงควรเป็นไปตามการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้ผ่านการศึกษาจนได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับใช้กันทั่วโลก

 
ความเชื่อผิดๆ หรือความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวาน

เรื่องราวเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ซึมลึกอยู่ในสังคมมานาน หากไม่ได้รับการแก้ไข ปล่อยให้หลายคนมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานอยู่ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน ผลลัพธ์ที่จะตามมาก็คงหนีไม่พ้น จำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น และผู้ป่วยเบาหวานมีแนวโน้มอาการหนักขึ้น มีโอกาสเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่สามารถดูแลตัวเอง หรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ที่ถูกต้อง

 

5
มิตซูบิชิ ไทรทัน 2024: New Mitsubishi Triton Double Cab GT-P 4WD ครบเครื่อง….กระบะพรีเมี่ยมสุดเท่

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส สร้างสรรค์ยนตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของคนทั่วโลก ด้วยรถกระบะหนึ่งตันที่ครบเครื่องทั้งในการใช้งานทุกรูปแบบ ความทนทาน ความสมบุกสมบัน ที่รวมไว้ในคันเดียว ทำให้เป็นที่นิยมและครองใจมายาวนาน

ความแข็งแกร่ง ทนทาน ที่สั่งสมมาตลอด 40 ปี เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความไว้วางใจของผู้ใช้รถทีมีต่อกระบะ Mitsubishi จากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ Mitsubishi L200 Aston (เฉินหลง), Cyclone, Strada และล่าสุดกับ Mitsubishi Triton Big Minor Change เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย เมื่อ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มาครบทุกตัวถัง ตั้งแต่ รุ่นตอนเดียว Single cab, แค็บตอนครึ่ง Mega Cab และ 4 ประตู Double Cab ในรูปแบบขับเคลื่อนสองล้อยกสูง Plus และขับเคลื่อน 4 ล้อ

พบกันอีกครั้งแตกต่างจากครั้งที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงเพราะเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่หรือ Big Minor Change ในเรือนร่างเดิมเริ่มกันที่ภายนอกออกแบบใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Rock Solid พร้อมรูปลักษณ์แบบ Advanced Dynamic Shield หนักแน่น ลงตัว เส้นสายอันดุดันของฝากระโปรงหน้า กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ ไฟหน้าใหม่ Projector Bi-LED และไฟ LED Daytime อยู่ในโคมเดียวกันติดตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 100 มม. พร้อมกันชนหน้าดีไซน์เท่ไฟตัดหมอกหน้าที่ออกแบบให้สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 700 มม. โดยเหตุผลที่ออกแบบให้ไฟหน้าและไฟตัดหมอกให้สูงขึ้นนั้นเพื่อทัศนวิสัยในการมองเห็นชัดขึ้นรวมถึงสามารถลุยน้ำท่วมได้อย่างสบายๆ

ด้านข้างดีไซน์ใหม่ลงตัวด้วยส่วนโค้งมนตัดกับเส้นสายอันโฉบเฉี่ยวพร้อมซุ้มล้อขนาดใหญ่ดีไซน์ขึ้นรูปไร้คิ้วพลาสติกขึ้นรูปครอบเข้าบังโคลนล้อ พร้อมบันไดข้างเข้ารูปชิ้นเดียว กระจกมองข้างโครเมี่ยมพร้อมไฟเลี้ยวดีไซน์คุ้นเคยจากรุ่น Pajero Sport เน้นความดุน่าเกรงขามสามารถปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้า ล้ออัลลอยมาครั้งนี้ลายใหม่ทูโทนใหญ่สุด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R18 พร้อมที่เปิดประตูโครเมี่ยมขนาดใหญ่ ที่ขาดไม่ได้เลยคือ เส้นสาย J-Line ออกแบบช่องไฟระหว่างด้านหลังตัวรถและแนวกระบะเป็นแนวทางเดียวกัน ฝากระบะท้ายยังคงดีไซนเดิมเพิ่มเติมด้วยสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟท้ายและไฟเบรก LED พร้อม LED Light Guide ดีไซน์คล้ายกับรุ่น Pajero Sport และกันชนหลังใหม่ดีไซน์เรียบง่ายสีเทาอ่อน

มิติตัวรถในรุ่นท็อปสุด Double Cab GT-Premium 4WD ปรับรายละเอียดเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับมาดใหม่ที่โดนใจ ตั้งแต่ความยาว 5,300 มม. (รุ่นเดิมยาว 5,280 มม.) ความกว้าง 1,815 มม. ความสูง 1,795 มม. (รุ่นเดิมสูง 1,780 มม.) ฐานล้อ 3,000 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ 220มม. (รุ่นเดิมสูง 205 มม.) น้ำหนัก 1,960 กก. (รุ่นเดิมน้ำหนัก 1,870 มม.) ความจุถังน้ำมัน 75 ลิตร ส่วนกระบะท้ายของรุ่น Double Cab GT-Premium 4WD ยังมีขนาดเท่าเดิมตั้งแต่ความยาวกระบะภายใน 1,470 มม. ความกว้างกระบะภายใน 1,520 มม. และความสูงกระบะภายใน 475 มม. เรียกว่าขนของบรรทุกกันอย่างเต็มรูปแบบกันทีเดียว

เปิดประตูสู่ความเข้มขรึมสุขุมต้องผ่านด่านการใช้งานของกุญแจอัจฉริยะ KOS แค่กดปุ่มสีดำเล็กๆจากก้านที่เปิดประตูก็สามารถปลดล็อกได้สบายๆ พร้อมปุ่ม Push Start สะดวกในการสตาร์ทรถ ชุดเบาะนั่งทำจากวัสดุกึ่งหนังแท้สีดำ ปรับระดับได้ 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า โดยโครงสร้างเบาะยังคงเดิมแต่ปรับรายเละเอียดใหม่ให้นั่งสบายโอบกระชับขึ้น เบาะหลังยังเป็นจุดเด่นที่นั่งสบายสุดในอันดับต้นๆ พร้อมที่วางแขนและที่วางแก้วน้ำในตัว หมอนรองศีรษะ 3 ตำแหน่ง พร้อมที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำในตัว เอาใจพ่อบ้านด้วยจุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่งสำหรับติดตั้งเบาะเด็กเพื่อความปลอดภัยและความห่วงใยสำหรับเจ้าตัวเล็ก

ชุดแผงคอนโซลหน้าดีไซน์เดิม แต่ปรับในส่วนคอนโซลกลาง คอนโซลเกียร์จนถึงที่เท้าแขน ตั้งแต่แผงช่องแอร์ซ้าย-ขวา รวมถึงปุ่มการใช้งานง่ายกว่ารุ่นเดิม หรูหราประณีตขึ้นด้วยวัสดุบุนุ่มตัดเย็บที่บริเวณกล่องคอนโซลข้างคนขับ ที่วางแขนและเบรกมืออย่างพิถีพิถัน พร้อมช่องวางของและช่อง USB 2 จุดสำหรับด้านหลังกล่องที่เท้าแขน

ออพชั่นจากรุ่นที่แล้วยังคงคับคั่งเช่นเดิมทั้ง เครื่องเสียง 2 DIN พร้อมจอสัมผัส 7 นิ้ว เล่น DVD และระบบนำทางพร้อมช่องเสียบ USB เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ Dual-Zone แยกอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา ครั้งแรก!! แอร์เพดานพร้อมแผงควบคุมบนหลังคาให้ความเย็นสบายในอีกรูปแบบจากเดิมจะอยู่หลังกล่องคอนโซลกลาง มาตรวัดเรืองแสงคราวนี้ชัดเจนขึ้นด้วยระบบกับจอแสดงข้อมูล MID 3 มิติ และข้อความภาษาไทย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรงเดิม 4 ก้าน ควบคุมการทำงานต่างๆทั้ง ปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องเสียง ในด้านซ้ายและปุ่ม Cruise Control ในด้านขวา เพิ่มปุ่มควบคุมการทำงานของมาตรวัดแสดงจอ MID และปุ่มรับโทรศัพท์และยังสามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทั้งสูง-ต่ำ กับ เข้า-ออกได้เช่นเดิม

ถึงจะเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่แต่ความแรงความเร้าใจคงเดิมด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผันรหัส 4N15 Mivec Clean Diesel 2.4 ลิตร 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที ตอบโจทย์สาวกรักความประหยัดน้ำมันด้วย ระบบ Auto Stop & Go ระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์ชั่วคราวเมื่อรถจอดหยุดนิ่ง ให้ค่า CO2 ถึง 202 กรัม/กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองตามข้อมูลโรงงานทำได้ 13.2 กม./ลิตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ลูกใหม่แทนลูกเดิม 5 สปีด พร้อมระบบ Sport Mode +/- ในกรณีที่ต้องการเร่งแซงสามารถและยังมี Paddle Shift หลังพวงมาลัย เพิ่มความสนุกในการขับขี่มากขึ้นดุจรถสปอร์ตสมรรถนะสูง และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้เลือกสำหรับคนหัวใจสปอร์ต

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Super Select 4WD II ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับรุ่น Pajero Sport นำระบบ Part -Time และ Full-Time เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งจะมีทั้ง 2H, 4H, 4HLc และ 4LLc โดยระบบนี้ เหมาะสำหรับการขับขี่ทุกรูปแบบไม่ว่าเส้นทางจะหนักโหดสไตล์ Off-Road หรือเบาแบบ On-Road ก็ตาม และยังเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ด้วยระบบ Off Road Mode แบ่งเป็นสี่โหมดสำคัญ ได้แก่ Gravel , Mud/ Snow , Sand และ Rock (ในตำแหน่ง 4LLc - ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำเท่านั้น) พร้อมกันนี้ยังติดตั้งเฟืองท้ายแบบ Diff-Lock หรือ ระบบล็อกเพลาหลังควบคุมด้วยไฟฟ้า ช่วยให้สามารถผ่านเส้นทางสุดโหดของการขับขี่ Off-Road

การทดสอบครั้งนี้จัดอยู่ในสนามออฟโรดที่ทาง Mitsubishi Motors ออกแบบมาเพื่องานนี้กลางทะเลสาบเมืองทองธานี แต่ด้วยเวลากระชั้นชิด ขับในสนามละ 1 รอบทำให้อรรถรสในการขับอาจไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เริ่มที่ การขับทดสอบเริ่มจากสนามแรก Flat Dirt Course เส้นทางเพื่อทดสอบในเรื่องอัตราเร่ง การบังคับควบคุมรวมถึงระบบช่วงล่างบนถนนที่เต็มไปด้วยทางฝุ่นกรวด ทราย บอกได้เลยว่าด้วยแรงบิดมหาศาล 430 นิวตันเมตร พาน้ำหนักเกือบ 2 ตัน พุ่งทะยาน ฉับไว ขับสนุก กำลังเหลือๆเช่นเดิม พวงมาลัยพาวเวอร์ แร็คแอนด์พีเนี่ยน แบบน้ำมัน วงเลี้ยวแคบคมแม่นยำในการบังคับควบคุม การเปลี่ยนเลน ในสภาพถนนขุรขระ รวมถึงทางเรียบราดยางมะตอย


ระบบช่วงล่างยังเป็นด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลงหน้า และด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อนโช้คอัพไขว้ Leaf Springs พร้อมเหล็กกันโคลงหน้า ปรับในส่วนช่วงล่างโดยเซ็ตใหม่ให้ความนุ่มนวลขึ้น หนึบขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม  การเก็บเสียงยังคงทำผลงานได้ดีเช่นเดิม ถึงสภาพทางขุรขระมีแรงสะเทือนก็ตาม เพราะติดตั้งอุปกรณ์ดูดซับเสียงตามจุดต่างๆในห้องโดยสาร และที่ห้องเครื่องยนต์ บังโคลนหน้ารถ ด้านระบบเบรกใช้ดิสก์เบรกล้อหน้าขนาดใหญ่ขึ้นเดิม พร้อมคาลิปเปอร์ 2 Pot ให้ความทันใจในการเบรกมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม


ย้ายมาที่สนามทางวิบากหรือ Off-Roadหลังทดสอบเส้นทาง เพื่อทดสอบระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพละกำลัง เครื่องยนต์ และระบบสนับสนุนการขับขี่เริ่มที่สถานีไต่เนินสูงหรือ Up Hill ขึ้นลงทางลาดชันโดยไฮไลต์อยู่ระบบควบคุมความเร็วลงทางลาดชัน หรือ HDC ติดตั้งในรุ่นท็อปสุดบอกได้เลยว่าจับอาการหน่วงได้ดี ไม่มีอาการกระตุกขณะระบบทำงาน ถือว่าดีอันดับต้นๆในกลุ่มรถกระบะเมืองไทย สถานีทางเอียงซ้าย Bank Slope และ เนินเอียงสลับซ้าย-ขวา หรือ Twist Track และสถานีทดสอบช่วงล่าง หรือ Suspension Stroke โดยทั้งสามสถานีที่กล่าวมาเน้นที่ระบบช่วงล่างให้การเกาะถนนและทรงตัวดีเยี่ยมแม้จะอยู่บนทางทีมีความเอียง

ตัวช่วยด้านความปลอดภัยเต็มคันทั้งระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว Forward Collision Mitigation System (FCM) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว Ultrasonic Misacceleration Mitigation System (UMS) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตาพร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน Blind Spot Warning With Lane Change Assist (BSW with LCA) ระบบปรับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ Automatic High Beam (AHB) กล้องมองภาพรอบคัน ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด Raer Cross Traffic Alert (RTCA) ฯลฯ


ภาพลักษณ์เดิมๆของ Mitsubishi Triton ได้จบสิ้นเมื่อรุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่ออกมา หน้าตาใหม่สไตล์ Advanced Dynamic Shield ผสมกันระหว่างรุ่น Pajero Sport กับXpander จนลงตัว คิ้วขอบล้อที่ออกแบบ Built-In และความสบายภายในห้องโดยสารที่กว้างกว่าใครพร้อมออพชั่นจัดมาครั้งนี้เต็มรูปแบบ เต็มคัน ทำให้New Mitsubishi Triton Double Cab GT-Premium 4WD เป็นอีกตัวเลือกอันดับต้นๆที่สิงห์รถกระบะชาวไทยให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมากในราคา 1,099,000 บาท

6
จัดฟันบางนา: เช็คด่วน ! ลักษณะน้ำลาย บอกโรคต่าง ๆในช่องปาก

เชื่อว่าหลายๆท่าน ดูแลสุขภาพช่องปากเป็นอย่างดี ตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ ทั้งฟันและลิ้น เพื่อดูสภาพโดยรวมของช่องปากว่ามีปัญหาหรือไม่ กันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบว่า อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้ท่านทราบได้ว่าสุขภาพช่องปากมีปัญหาหรือไม่ นั่นก็คือ “น้ำลาย” ซึ่งต้องบอกเลยว่า น้ำลาย คือส่วนประกอบสำคัญอีกสิ่งหนึ่งในช่องปากที่คอยบ่งบอกถึงความผิดปกติได้เป็นอย่างดี แต่หลายๆคนไม่สนใจที่จะใส่ใจเสียด้วยซ้ำ

เพราะเหตุนี้นี่เองทางด้านของผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพในช่องปากและฟัน ยาวนานกว่า 15 ปี จะขอพาคุณผู้อ่านมารู้จักกับสภาพน้ำลายที่สามารถบอกเบื้อต้นได้ว่าคุณนั้นกำลังเสี่ยงกับการเป็นโรคช่องปากอะไรหรือไม่ ซึ่งมีรายละเอียดคร่าวๆดังต่อไปนี้


น้ำลาย คืออะไร ?

น้ำลายมีส่วนประกอบของน้ำถึง 98% อีกอีกส่วนที่เหลือ จะประกอบไปด้วย อิเล็กโทรไลต์ เมือก สารยับยั้งแบคทีเรีย เอนไซม์ชนิดต่างๆ โดยหน้าที่หลักๆของน้ำลายคือการย่อยแป้งที่อยู่ในอาหาร เป็นหนึ่งในกระบวนการย่อยอาหาร คอยชะล้างเศษอาหารในช่องปากลดการเน่าเสียจากแบคทีเรีย แถมยังคอยปกป้อง ฟัน ลิ้น และเนื้อเยื่ออ่อนบางส่วนภายในช่องปากอีกด้วย

เห็นไหมว่าน้ำลายมีหน้าที่สำคัญมากๆในช่องปากไม่แพ้สิ่งต่างๆเลย เพราะเหตุนี้เอง น้ำลายจึงสามารถบอกได้ด้วยว่าคุณกำลังเป็นโรคอะไรหรือไม่ เพราะเหตุนี้เองจึงควนสังเกตให้ดี อย่าละเลยปล่อยให้สัญญาณที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ไม่มีค่าอันใด โดยลักษณะน้ำลายรูปแบบต่างๆที่ควรระวัง หากเป็นควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสอบโดยเร็ว ซึ่งลักษณะต่างๆของน้ำลายมีดังต่อไปนี้


ลักษณะน้ำลายบ่งบอกโรคอะไรได้บ้าง ?


– มีน้ำลายในปากมากเกินไปจนผิดปกติ

ผู้ที่มีน้ำลายในช่องปากมากเกินไปแบบผิดปกติที่ควรจะเป็นเท่าที่รู้สึกได้ พร้อมตามมาด้วยอาการระคายคอ มีเสมหะ รู้สึกมีรสเปรี้ยวกลืนลำบาก หรือมีรสขมของน้ำดี เรอบ่อย แถมด้วยการมีกลิ่นปาก นั่นหมายความว่าคุณกำลังเป็นโรคกรดไหลย้อน


– น้ำลายแห้ง

อาการของน้ำลายแห้งนั้น เกิดจากการที่น้ำลายไม่สามารถไหลผ่านท่อน้ำลายได้อย่างสะดวก อาการแบบนี้มักเกิดขึ้นบ่อยในส่วนของต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร อาจจะมีอาการปวดและบวมใต้คางร่วมด้วย ซึ่งจะเป็นๆหายๆ มักจะมีอาการในเวลาที่รับประทานอาหาร ซึ่งบ่องบอกว่าคุณกำลังเป็นนิ่วต่อมน้ำลายนั่นเอง


– น้ำลายไหลในขณะนอนหลับ

ต้องบอกเลยว่าหลายๆคนคงเคยประสบเหตุการณ์ที่ตื่นมาแล้วน้ำลายไหลออกมาเปียกหมอนเป็นจำนวนมาก แต่คงคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่จริงๆแล้วอาการดังกล่าวนี้อาจจะส่งผลเชื่อโยงกับหลายๆโรคเช่น โรคทอนซิล โรคเหงือกและฟัน โรคที่ต่อมน้ำลาย รวมถึงไซนัส อีกด้วย


– น้ำลายเหนียว

เชื่อว่าหลายๆคนที่มีอาการน้ำลายเหนียว จะคิดว่าสงสัยเป็นเพราะพูดมาก ไม่ได้กินน้ำ แต่แท้ที่จริงแล้วอาการของน้ำลายเหนียวเกิดจากปริมาณน้ำลายไม่เพียงพอในการหล่อเลี้ยงในช่องปาก ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ ฟันผุ เนื่องจากว่าน้ำลายถือว่ามีความสำคัญมากในการเป็นตัวกลางช่วยลดการยึดเกาะและการเจริญเติบโตของแบคทีเรียกับผิวเคลือบฟัน

ทั้งหมดนี้ก็คือวิธีการตรวจเช็คคร่าวๆ ถึงความผิดปกติที่ส่งผลต่อระบบการทำงานของน้ำลาย ซึ่งไม่ว่าคุณจะดูแลสุขภาพช่องปากดี หรือตรวจสอบความผิดปกติในช่องปากตลอดเวลา แต่อย่าละเลยการตรวจความผิดปกติของน้ำลาย ในเมื่อได้ทราบแบบนี้แล้ว หากพบว่าน้ำลายในช่องปากมีความผิดปกติตามข้อใด ควรเข้ารับการรักษา ก่อนที่อาการจะเป็นไปมากจนยากจะแก้ไขได้ แต่ถ้าหากเข้าพบแพทย์แล้ว ยังตรวจไม่พบโรคอะไรตามที่คาดหมายไว้ ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะ คุณจะได้ทราบว่ามีสัญญาณเตือนแต่ยังไม่เกิดโรคเหล่านั้น จะได้เกิดการยับยั้งหาวิธีแก้ไข และระวังตัวเองได้ ก่อนที่โรคร้ายๆเหล่านั้นจะเกิดขึ้นก็ถือว่าเป็นผลดีอย่างยิ่ง

แต่ทางที่ดีที่สุดคือคุณควรยับยั้งโรคต่างๆไม่ให้เกิดขึ้น ด้วยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงที่อยากคอยย้ำว่า ควรพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เป็นอย่างน้อย เพื่อที่ว่าเผื่อคุณเป็นโรคอะไรจะได้รักษาได้ก่อนที่จะเป็นไปมากกว่าเดิม

7
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ (Cellulitis)

เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ เป็นการอักเสบของผิวหนังชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นที่อยู่ลึก (ชั้นไขมัน)


สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ ซึ่งติดมาจากทางเดินหายใจ และสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มอื่น ส่วนน้อยอาจเกิดจากเชื้อสแตฟีโลค็อกคัส นิวโมค็อกคัส เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ (เช่น วิบริโอวาลนิฟิคัส*) เชื้อเข้าไปทางบาดแผล รอยถลอก หรือรอยแตกแยกของผิวหนัง (เช่น แมลงกัด หนามตำ ผิวหนังมีรอยขีดข่วน)

ผู้ที่เป็นเบาหวาน เอดส์ กินยาสเตียรอยด์เป็นประจำ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ คนอ้วน หรือมีบาดแผลหรือโรคผิวหนัง (เช่น ผิวหนังอักเสบ อีสุกอีใส งูสวัด ฮ่องกงฟุต โซริอาซิสหรือสะเก็ดเงิน) แขนขาบวมเรื้อรัง หรือเคยเป็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบมาก่อน มีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบมากกว่าปกติ

*ผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เบาหวาน มะเร็ง ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น ถ้ามีการติดเชื้อวิบริโอวาลนิฟิคัส (Vibrio vulnificus) ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้ออหิวาต์ เชื้ออาจเข้าสู่กระแสเลือดกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ มีอัตราตายสูงถึงประมาณร้อยละ 50

การติดเชื้อมักเกิดจากการกินอาหารทะเล (เช่น หอยนางรม) ที่ปนเปื้อนเชื้อนี้แบบดิบ ๆ ในคนที่แข็งแรงดี มักแสดงอาการแบบอาหารเป็นพิษ คือ ปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน หลังกินอาหารทะเลประมาณ 16 ชั่วโมง แต่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำโดยเฉพาะถ้าเป็นตับแข็ง ก็มักจะกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ มีอาการไข้ หนาวสั่น ความดันเลือดตก ผิวหนังขึ้นเป็นตุ่มน้ำ (bleb) ถ้าเป็นรุนแรงจะเป็นตุ่มน้ำที่มีเลือดปน (hemorrhagic bleb)

นอกจากนี้ อาจเกิดจากการสัมผัสกับน้ำทะเลที่มีเชื้อนี้โดยตรง เช่น ลงเล่นน้ำทะเลขณะมีบาดแผลที่ผิวหนัง ถูกปะการังหรือเปลือกหอยบาดในน้ำทะเล เป็นต้น ผู้ป่วยจะแสดงอาการแบบเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังส่วนลึกอักเสบ ซึ่งต่อมาจะเกิดตุ่มน้ำ มีเนื้อตายเกิดขึ้น และเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ

ภาวะร้ายแรงนี้ ยังอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียแกรมลบชนิดอื่น เช่น วิบริโออัลจิโนไลติคัส (Vibrio alginolyticus) วิบริโอพาราฮีโมไลติคัส (เชื้อชนิดหลังนี้จะมีอาการอาหารเป็นพิษร่วมด้วย ดู "อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรค" เพิ่มเติม)

ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยเป็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำที่มีเลือดปน หลังกินอาหารทะเลแบบดิบ ๆ หรือหลังเล่นน้ำทะเล ควรคิดถึงภาวะร้ายแรงชนิดนี้ และส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว ถ้าได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และการดูแลรอยโรคที่ผิวหนังได้ถูกต้องและทันท่วงที ก็มีโอกาสหายได้

ผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการกินหอยนางรมและอาหารทะเลแบบดิบ ๆ และการเล่นน้ำทะเลขณะมีบาดแผลที่ผิวหนัง ถ้าหากเล่นน้ำทะเลแล้วเกิดบาดแผล ถูกหอยหรือปะการังบาด ควรรีบทำความสะอาดด้วยน้ำกับสบู่และใส่ยาฆ่าเชื้อ (เช่น โพวิโดนไอโอดีน แอลกอฮอลล์) ทันที


อาการ

ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นแดงจัด ลามออกอย่างรวดเร็ว กดเจ็บ และคลำดูออกร้อน ขอบผื่นไม่ชัดเจน และไม่ยกนูนจากผิวหนังปกติ (จะกลืนไปกับผิวหนังปกติ) ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่บริเวณขาและเท้า อาจพบที่ใบหน้า แขน มือ หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

อาจมีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงอาจโตและกดเจ็บ มีท่อน้ำเหลืองอักเสบเห็นเป็นเส้นสีแดง

บางรายอาจมีตุ่มน้ำหรือฝีร่วมด้วย ซึ่งเมื่อแตกจะมีเนื้อตายเกิดขึ้น

เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ
อาการแสดงของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ


ภาวะแทรกซ้อน

หากเป็นโรคนี้ซ้ำซาก อาจทำลายระบบทางเดินน้ำเหลือง ทำให้เท้าข้างเป็นโรคบวมเรื้อรังได้

เชื้ออาจลุกลามเข้าเนื้อเยื่อในชั้นที่อยู่ลึกลงไป ทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง ทำให้เนื้อตาย และอาจลุกลามเข้ากระแสเลือดกลายเป็นโลหิตเป็นพิษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวาน กินยาสเตียรอยด์มานาน หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำจากสาเหตุอื่น

ในรายที่เกิดจากเชื้อบีตาฮีโมไลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ อาจทำให้เป็นหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันได้ (มีอาการไข้สูง บวมทั้งตัว ปัสสาวะสีแดง) ซึ่งพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ถ้าจำเป็นแพทย์จะนำหนองจากรอยโรคไปตรวจหาเชื้อ เอกซเรย์ หรือนำเลือดไปเพาะเชื้อในรายที่มีภาวะโลหิตเป็นพิษ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้ผู้ป่วยพักผ่อน พยายามอย่าเคลื่อนไหวส่วนที่อักเสบ และยกแขนหรือขาส่วนที่อักเสบให้สูง และใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ

ผู้ป่วยสามารถกินอาหารได้ตามปกติ ไม่มีของแสลง ควรกินอาหารพวกโปรตีน (เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ

ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ถ้าปวดหรือมีไข้

2. ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลินวี, อีริโทรไมซิน, โคอะม็อกซิคราฟ) ถ้าดีขึ้นให้ยาปฏิชีวนะต่อจนครบ 10 วัน

3. ถ้าไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรงหรือสงสัยมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อน หรือพบในผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด บางรายอาจต้องทำการผ่าตัดระบายหนองหรือตัดเอาเนื้อตายออกไป


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีไข้สูง หนาวสั่น ซึม เบื่ออาหาร หรือการอักเสบรุนแรงมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

เมื่อมีบาดแผล รอยถลอก หรือรอยแตกแยกของผิวหนัง (เช่น แมลงกัด หนามตำ ผิวหนังมีรอยขีดข่วน หรือ ฮ่องกงฟุต)

    ควรล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที เพื่อชะล้างเอาสิ่งสกปรกออกไป
    ทารอบแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน
    อย่าให้แผลถูกน้ำ หรือใช้น้ำลาย น้ำหมาก หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ พอกที่แผล
    ควรพักส่วนที่เป็นบาดแผลให้มาก ๆ
    กินอาหารได้ตามปกติ ควรกินอาหารพวกโปรตีน ผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในทะเล และระวังไม่ให้แผลถูกน้ำทะเล
    ถ้าบาดแผลสกปรก แผลถูกสัตว์หรือคนกัด ถูกตะปู หรือถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวกพอง หรือพบบาดแผลในผู้ป่วยเบาหวาน เอดส์ โรคตับเรื้อรัง หรือโรคไตเรื้อรัง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม

ข้อแนะนำ

ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่แรก หากปล่อยปละละเลย อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ เป็นอันตรายได้

8
คอนโดติดรถไฟฟ้า วัน อัลติจูด (One Altitude)
เริ่มต้น 8.9 ลบ.

วัน อัลติจูด (One Altitude)
คอนโดวิวแม่น้ำเจ้าพระยาย่านเจิรญกรุง ได้ความเป็นส่วนตัวเพียง 85 ยูนิต  ตอบโจทย์ความใกล้ชิด ทั้งแหล่งธุรกิจการเงิน สถานที่ทำงาน และสถานศึกษาชั้นนำ การตกแต่งดีไซน์ที่เหนือระดับ และการบริการระดับโรงแรม 5 ดาวตั้งแต่ก้าวแรก เดินทางสะดวกใกล้ทางด่วนศรีรัชเพียง 600 เมตร

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                 วัน อัลติจูด (One Altitude)
 เจ้าของโครงการ            อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย                  วัน อัลติจูด
 ราคา                         เริ่มต้น 8.9 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                  คอนโดในเมือง
 ความสูงคอนโด                High Rise (9 ชั้นขึ้นไป)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี               1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน, 3 ห้องนอน, 4 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี                 ตั้งแต่ 31.68 ถึง 209.65 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                 1 ไร่ 87 ตร.ว.
 จำนวนตึก                     1 อาคาร
 จำนวนชั้น                     20 ชั้น
 จำนวนห้อง                   ห้องพักอาศัย 85 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด              100% ที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ 4 คัน
 ค่าบำรุงส่วนกลาง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค                สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, อื่นๆ (และจากุชชี่, ห้องรับรองแขก, จุดชมวิวแม่น้ำ, ห้องรับรองส่วนตัว และห้องรับประทานอาหาร, ห้องกิจกรรมเด็ก)

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน                   สาทร, พระราม 3, พระราม 4, ยานนาวา
 ที่ตั้ง                   ถนนจันทน์ ซอยจันทน์ 44 แขวงวัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:               ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน, สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ - บางหว้า(สะพานตากสิน)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ไอคอนสยาม
โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่
โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
โรงเรียนอัสสัมชัญ คอนแวนต์
โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม
โรงเรียนเซนโยเซฟคอนแวนต์
โรงแรมชาเทรียมริเวอร์ไซด์
โรงแรมคาเพลลา
โรงแรมโฟร์ซีซั่น
เอเชียทีค
เยาวราช

9
บ้านเดี่ยว เดอะ ซิตี้ สุขุมวิท - อ่อนนุช (The City Sukhumvit - Onnut)
เริ่มต้น 15 ลบ. - 22 ลบ. 

เดอะ ซิตี้ สุขุมวิท - อ่อนนุช (The City Sukhumvit - Onnut)
โครงการบ้านเดี่ยวหรู ดีไซน์ทันสมัย ระดับไฮเอนด์ ฟังก์ชั่นใหญ่ ทำเลทองย่านสุขุมวิท ทองหล่อ เอกมัย พระราม9 เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ครบถ้วนอย่างมีรสนิยม บนทำเลศักยภาพ ใกล้จุดขึ้นทางด่วน รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา และโรงพยาบาล

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ          เดอะ ซิตี้ สุขุมวิท - อ่อนนุช (The City Sukhumvit - Onnut)
 เจ้าของโครงการ     เอพี (ไทยแลนด์)
 แบรนด์ย่อย          เดอะ ซิตี้
 ราคา                  เริ่มต้น 15 ลบ. - 22 ลบ.

 ประเภทบ้าน         บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล       บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ      23 ไร่ 3 งาน 36 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน         88 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด   5 แบบ
  เนื้อที่บ้าน          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย        ตั้งแต่ 252 ถึง 414 ตร.ม.
 จำนวนชั้น           2 ชั้น
 หน้ากว้าง          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน   ตั้งแต่ 4 ถึง 5 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ   ตั้งแแต่ 3 ถึง 4 คัน
 สาธารณูปโภค     สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ (ระบบเกลือ), ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (ระบบ KATSAN, Hybrid Living Innovation, ระบบสัญญาณกันขโมยภายในบ้าน ระบบ Magnetic ทั้งหลัง และระบบ Shock Sensor), Keycard System

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน      ประเวศ, พระโขนง, สวนหลวง
 ที่ตั้ง      ซอยอ่อนนุช 70/1 แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 10250

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าAirport Rail Link, สถานี(สถานีปัจจุบัน)(หัวหมาก)
ใกล้ทางด่วน (มอเตอร์เวย์, ทางพิเศษศรีรัช)
ใกล้ถนนสายหลัก (วงแหวนกาญจนาภิเษก)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
สถานศึกษา
โรงเรียนบีคอน เฮาส์ แย้มสอาด พัฒนาการ 1.3 กม.
โรงเรียนมินเดอร์พัฒนาศึกษา 2.5 กม.
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ 2.9 กม.
Bangkok Prep Secondary Campus 6.5 กม.
Bangkok Patana International School 9 กม.
Brighton College International School 9 กม.
Anglo Singapore International School 9.2 กม.
Bangkok Prep Primary Campus 9.6 กม.
Shrewsbury International Rama9 School 12 กม.
Stamford International University 6 กม.
Assumption University 7.5 กม.

ห้างสรรพสินค้า
Paradise Park 4 กม.
The Nine Center Rama 9 10.5 กม.
Mega Bangna 10.8 กม.
Emporium, Emquartier 11 กม.
Central Embassy 14 กม.
Siam Paragon 18 กม.

สถานพยาบาล
โรงพยาบาลวิภาราม 4 กม.
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ 5.5 กม.
โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 8 กม.
โรงพยาบาลสุขุมวิท 8.7 กม.
โรงพยาบาลกรุงเทพ 10.4 กม.
โรงพยาบาลพระรามเก้า 12.5 กม.

10
การจัดฟันเด็ก เด็กควรที่ปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อให้การจัดฟันมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
 
ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกนั้น มีความสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะถ้าหากเด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ก็จะสามารถทำกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นการช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการของเด็กได้อย่างดีเลยทีเดียว ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพฟันของลูกให้มากเป้นพิเศษ เพราะฟันของลูกเรานั้น จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต ถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟัน

ควรที่จะพาเด็กเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที หากปล่อไว้จนเด็กโตขึ้น ปัญหาดังกล่าวอาจจะลุกลามไปจนขึ้นขั้นเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้ ที่สำคัญถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟัน ก็ควรที่จะพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อเข้ารับการแก้ไขปัญหาทันที เพราะการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว ทั้งยังช่วยส่งเสริมให้เด็กรู้จักวิธีการแปรงฟัน การดูแลรักษาคาวมสะอาดช่องปากและฟันตั้งแต่อายุยังน้อยด้วย

ถือว่ามีประโยน์ต่อตัวเด้กมากเลยทีเดียว ดังนั้น พ่อแม่ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของฟันของเด็ก แต่พ่อปม่หลายคนอาจจะมีความกังวลเพราะค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก ก็มีราคาค่อนข้างสูง กลัวว่าเมื่อเด็กเข้ารับการจัดฟันแล้ว จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อไม่ให้เด็กเสียเวลาที่จะต้องเข้ารับการจัดฟันใหม่ หรือปฏิบัติตัวอย่างไรให้มีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
 
วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการปฏิบัติตัวของเด็ก ที่จะช่วยทำให้มีผลการรักษาในการจัดฟันในเด็กทีมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้งานได้จริง ช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว สำหรับขอแรกหลายคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว ผู้เข้ารับการจัดฟันนั้น ไม่ว่าจะเป้นการจัดฟันในรูปแบบใด ในเรื่องของการทำความสะอาดก้จะยากกว่าคนทั่วไป เพราะเรามีเครื่องมือการจัดฟันติดตั้งอยู่ภายในช่องปาก

จึงมีความจำเป้นที่จะต้องทำความสะอาดช่องปากและฟันให้ดีมากเป็นพิเศษ พ่อแม่ผู้ปกครองบางคนอาจจะคิดว่า การจัดฟันของเด็กเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เด็กๆอาจจะปฏิบัติตัวขณะจัดฟันได้ไม่ถูกต้องหรือมีคาวมยุ่งยากในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ต้องบอกก่อนว่า เด็กทุกคนสามารถปรับตัวได้ และการจัดฟันก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่หลายคนคิด เพราะจริงๆ แล้วการจัดฟัน มีหลักปฏิบัติง่ายๆ อยู่ 4 อย่างเท่านั้นเอง ซึ่งก็ได้แก่ แปรงฟันให้สะอาดอยู่เสมอ เข้ามาปรับเครื่องมือตามที่ทันตแพทย์จัดฟันนัด ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

ระวังอย่าให้เครื่องมือหลุด เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสม เพราะการที่เรารับประทานอาหารที่มีความแข็งเกินไป เช่นลูกอม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายของเครื่องมือการจัดฟันได้ ที่สำคัญภายหลังจากการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน ซึ่งข้อปฏิบัติเหล่านี้อาจจะทำให้ชีวิตอาจยุ่งยากขึ้นบ้าง

แต่ก็คงไม่มีอะไรเกินความสามารถ และในขณะจัดฟัน เด็กๆ ก็ยังสามารถรับประทานอาหารและเล่นกีฬาที่พวกเขาชื่นชอบได้ เพียงแต่ต้องระวังนิดหน่อยเท่านั้นเอง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เด็กมีผลการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ที่มีประสิทธิภาพ สามารถมีฟันที่สวยงามได้แล้ว นอกจากจะชช่วยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว การจัดฟันในเด็กยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของเด็กได้อีกด้วย ทำให้เด็กมีคาวมมั่นใจมากยิ่งขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใส สมวัยได้
 
สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลาของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก และมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดี และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน และยังช่วยทำให้สสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มีความสุขได้

11
คอนโดติดรถไฟฟ้า เดอะ มูฟ ราม 22 (The Muve Ram 22)
เริ่มต้น 1.89 ลบ.

เดอะ มูฟ ราม 22 (The Muve Ram 22)
พบคอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ จากแสนสิริ ที่เริ่มคิดจากความเข้าใจ เลือกฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ จากสิ่งที่สำคัญกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ใกล้ความสะดวกสบาย ให้คุณใช้เวลา และเงินได้คุ้มค่ากว่าที่เคย เพื่อต่อยอดทำในสิ่งที่รัก สร้างโอกาส ให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าใคร เพียง 500 เมตร จาก mrt สถานีรามคำแหง 12

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              เดอะ มูฟ ราม 22 (The Muve Ram 22)
 เจ้าของโครงการ         แสนสิริ
 แบรนด์ย่อย              เดอะ มูฟ
 ราคา                      เริ่มต้น 1.89 ลบ.

  ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล              คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด           Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี          1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี            ตั้งแต่ 21.50 ถึง 24.75 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด            1 ไร่
 จำนวนตึก                2 อาคาร
 จำนวนชั้น                8 ชั้น
 จำนวนห้อง              254 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค          ฟิตเนส, อื่นๆ (Rooftop Garden, Camera Studio), สวนหย่อม, Co-Working Space, ห้องประชุม

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน             รามคำแหง, บางกะปิ, เสรีไท
 ที่ตั้ง             ซอยรามคำแหง 22 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:               ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีส้ม, สถานี(ตลิ่งชัน - สุวินทวงศ์)(รามคำแหง 12)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
The Mall รามคำแหง
Foodland หัวหมาก
ม.รามคำแหง
รร.สาธิตม.รามคำแหง
ราชมังคลากีฬาสถาน
รพ.รามคำแหง
รพ.แพทย์ปัญญา

12
อาการของโรคเกลื้อน (Tinea versicolor/Pityriasis versicolor)

เกลื้อน เป็นโรคเชื้อราของผิวหนังชนิดหนึ่ง พบได้บ่อยในคนหนุ่มสาว พบน้อยในเด็กและผู้สูงอายุ มักพบในผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่อบ หรือมีเหงื่อออกมาก เช่น ผู้ที่ทำงานกลางแดด (ชาวไร่ ชาวนา กรรมกร) ทำงานแบกหาม ขับรถยนต์ นักกีฬา เป็นต้น

ผู้ที่เป็นเกลื้อนซ้ำแล้วซ้ำอีก อาจมีภาวะบางอย่างที่สนับสนุนให้เกิดโรค เช่น การมีเหงื่อออกมากผิดปกติ การตั้งครรภ์ ภาวะโลหิตจาง ขาดอาหาร วัณโรค เอดส์ หรือการได้สเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ เป็นต้น

โรคนี้ติดต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งได้ยากมาก การเกิดโรคขึ้นกับภาวะร่างกายของผู้ป่วยที่เสริมให้เชื้อราที่มีอยู่ประจำถิ่น (normal flora) บนผิวหนังของผู้ป่วย (และคนทั่วไป) เจริญงอกงามมากกว่าการติดโรคจากการสัมผัสกับผู้ที่เป็นเกลื้อน

มักพบในผู้ที่มีเหงื่อออกมาก หรือทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออก (เช่น คนทำงานในที่ที่อากาศร้อน นักกีฬา ทหาร) และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเอดส์)

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อราที่มีชื่อว่า มาลาสซีเซียเฟอร์เฟอร์ (Malassezia furfur)* ซึ่งเป็นเชื้อราที่มีอยู่ตามหนังศีรษะของคนเราเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว

ในคนปกติถึงแม้จะมีเชื้อราชนิดนี้อยู่บนร่างกายก็ไม่ได้ทำให้เกิดโรค แต่คนบางคนที่มีเหงื่อออกมาก เชื้อรานี้จะเจริญงอกงามจนทำให้กลายเป็นเกลื้อน

*เดิมมีชื่อเรียกว่า พิไทโรสปอรัมโอวาเล (Pityrosporum ovale) ซึ่งนอกจากเป็นสาเหตุของโรคเกลื้อนแล้ว ยังสัมพันธ์กับการเกิดโรคผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแค และรังแค


อาการ

มีผื่นขึ้นเป็นดวงกลมเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 4-5 มม. จำนวนหลายดวง กระจายทั่วไปในบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก เช่น หน้า ซอกคอ หลัง ไหล่ เป็นต้น ผื่นมักแยกกันอยู่เป็นดวง ๆ บางครั้งอาจต่อกันเป็นแผ่นขนาดใหญ่ ผื่นจะมีสีได้หลายสี ตั้งแต่สีขาว น้ำตาลจาง ๆ จนถึงน้ำตาลแดง เห็นเป็นรอยด่าง หรือรอยแต้ม

ในระยะที่เป็นใหม่ ๆ ถ้าใช้เล็บหรือปากกาขูดเบา ๆ ผื่นเหล่านี้จะร่วนออกมาเป็นขุยขาว ๆ

มักไม่มีอาการคัน ยกเว้นในบางครั้งขณะมีเหงื่อออกมาก อาจรู้สึกคันเล็กน้อยพอรำคาญ


ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากมักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง และแลดูน่าเกลียด


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจลักษณะของรอยโรค การใช้เล็บหรือปากกาขูดเบา ๆ บนรอยโรค ผื่นจะร่วนออกมาเป็นขุยขาว ๆ

หากไม่แน่ใจ จะทำการวินิจฉัยโดยการขูดเอาขุย ๆ ของผิวหนังส่วนที่เป็นโรค ใส่น้ำยาโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ชนิด 10% แล้วนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ถ้าเป็นเกลื้อนจะตรวจพบเชื้อราที่เป็นสาเหตุ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ทาด้วยครีมรักษาโรคเชื้อราวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นหลังอาบน้ำ ถ้าดีขึ้นควรทาติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์

หรือใช้แชมพูสระผมเซลซัน (มีตัวยาซีลีเนียมซัลไฟด์) โดยอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งก่อน แล้วใช้สำลีชุบยาทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วอาบน้ำใหม่ล้างยาออก ทำเช่นนี้วันละครั้ง นาน 6 สัปดาห์ แต่ระวังอาจแพ้ เกิดอาการบวมแดง คัน หรือแสบร้อนคล้ายน้ำร้อนลวกได้ ถ้าแพ้ควรเลิกใช้

หรือใช้แชมพูคีโตโคนาโซล ทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก วันละครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน

ในรายที่เป็นมากและบริเวณกว้างหรือเป็นเรื้อรัง แพทย์จะให้กินยาต้านเชื้อรา เช่น ไอทราโคนาโซล (Itraconazole), ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) เป็นต้น


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกลื้อน ควรดูแลตนเองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ทาด้วยขี้ผึ้งรักษากลากเกลื้อน หรือครีมรักษาโรคเชื้อรา (ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร) วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นหลังอาบน้ำ ถ้าดีขึ้นควรทาติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์
    ใช้แชมพูสระผมเซลซัน (มีตัวยาซีลีเนียมซัลไฟด์) โดยอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งก่อน แล้วใช้สำลีชุบยาทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วอาบน้ำใหม่ล้างยาออก ทำเช่นนี้วันละครั้ง นาน 6 สัปดาห์ แต่ระวังอาจแพ้ เกิดอาการบวมแดง คัน หรือแสบร้อน คล้ายน้ำร้อนลวกได้ ถ้าแพ้ควรเลิกใช้
    ใช้แชมพูคีโตโคนาโซล ทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก วันละครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน


ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์
    รอยโรคลุกลามมากขึ้น
    มีอาการกำเริบใหม่ หรือหาทางป้องกันไม่ได้ผล
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

1. อย่าใส่เสื้อผ้าที่อับเหงื่อนาน ๆ ควรรักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้าอยู่เสมอ

2. บางรายเมื่อรักษาหายแล้วอาจกำเริบได้ใหม่อีก อาจป้องกันได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้

    ทาครีมรักษาโรคเชื้อราทุกเดือน เดือนละ 2 วันติดต่อกัน ทาวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นหลังอาบน้ำ
    ทาแชมพูเซลซันเดือนละครั้ง หรือแชมพูคีโตโคนาโซล 1 ครั้ง ทุก 2 สัปดาห์
    ถ้าไม่ได้ผลแพทย์จะให้กินยาไอทราโคนาโซล (itraconazole) หรือฟลูโคนาโซล (fluconazole) เดือนละครั้ง

ข้อแนะนำ

1. หลีกเลี่ยงการซื้อยาครีมสเตียรอยด์ (แก้แพ้แก้คัน) หรือยาอื่นที่ไม่ใช่ยารักษาเชื้อราหรือยารักษาโรคกลากเกลื้อนที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำมาใช้เอง เนื่องเพราะครีมสเตียรอยด์อาจทำให้โรคลุกลามได้ ส่วนยาน้ำที่ทาแล้วที่รู้สึกแสบ ๆ อาจทำให้ผิวหนังไหม้และอักเสบได้

2. ผู้ที่เคยเป็นเกลื้อน เมื่อหายแล้วอาจเป็นใหม่ได้อีก เพราะเชื้อราที่เป็นสาเหตุเป็นเชื้อราที่อยู่ในร่างกายของคนเราเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุ อาจมีภาวะผิดปกติของร่างกายอื่น ๆ (เช่น เอดส์) ร่วมด้วย

3. รอยด่างขาวที่ผิวหนัง ถ้าเป็นเกลื้อนผิวหนังบริเวณนั้นจะย่นเล็กน้อย และมีเกล็ดบางเลื่อมสีขาว น้ำตาล หรือแดงเรื่อ ๆ คลุมอยู่บนผิว เวลาเอาเล็บขูดจะเป็นขุย ควรแยกออกจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคด่างขาว กลากน้ำนม ซึ่งทาด้วยยารักษาเกลื้อนจะไม่ได้ผล (ตรวจอาการผื่น/ตุ่ม/วงด่าง)

13
บิ๊กไบค์ อินเดียน มอเตอร์ไซเคิล Indian Motorcycle Scout Bobber LIMITED +TECH ปี 2025
690,000 บาท

อินเดียน มอเตอร์ไซเคิล Indian Motorcycle Scout Bobber LIMITED +TECH ปี 2025
Indian Scout Bobber LIMITED +TECH มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วยฟีเจอร์ทันสมัย อาทิ ระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน, โหมดการขับขี่, ระบบควบคุมความเร็วคงที่ และระบบกุญแจแบบ Keyless เรือนไมล์ทรงกลมที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 4 นิ้ว ใช้ระบบปฏิบัติการ RIDE COMMAND ทำให้คุณสามารถดูข้อมูล พร้อมปรับแต่งรายละเอียดได้ตามสไตล์และความต้องการ ขุมพลัง SpeedPlus ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด เครื่องยนต์ V-Twin 60 องศา ระบายความร้อนด้วยของเหลว ขนาด 1250 ซีซี ให้กำลัง 105 แรงม้า พร้อมแรงบิด 82 ฟุต-ปอนด์ เพื่อการขับขี่ที่สมดุลและเร้าใจ สีมีให้เลือก 3 สีได้แก่ ดำ Black Smoke ราคา 690,000 บาท,แดง Sunset Red Smoke ราคา 709,000 บาท, น้ำเงิน Spirit Bule Metallic 719,000 บาท

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                  Indian Motorcycle
   รุ่น                       อินเดียน มอเตอร์ไซเคิล Indian Motorcycle Scout Bobber LIMITED +TECH ปี 2025
   ประเภทรถ              รถครูสเซอร์-ชอปเปอร์, Cruiser Bigbike
   ปีที่เปิดตัว                2025
   ราคา                   690,000 บาท 

สเปค
   รูปแบบเกียร์              เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์                 6 เกียร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์     V-Twin 60 องศา
   ระบบระบายความร้อน       น้ำ
   ระบบสตาร์ท                สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)    1250 CC
   แบบเครื่องยนต์             4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด               Electronic
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง            แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                     หัวฉีด (Closed Loop Fuel Injection)
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)            13 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน                  ล้อหน้า Telescopic 120 มม., ล้อหลัง Dual Shocks 76 มม.
   ระบบเบรค                         ล้อหน้า ดิสก์เบรก (เดี่ยว คาลิปเปอร์สองสูบ Single / 298 mm Semi-Floating Rotor/ 2 Piston Caliper), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (เดี่ยว คาลิปเปอร์สองสูบ Single / 298 mm Semi-Floating Rotor/ 1 Piston Caliper)
   แบบวงล้อ                          แมกซ์
   ขนาดยาง                          ล้อหน้า 130/90B16, ล้อหลัง 150/80B16
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)    2,206 x 930 x 1,071
   น้ำหนักตัวรถ                      237.00 กก.

14
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ซาร์ส (SARS)

ซาร์ส,โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง,ไข้หวัดมรณะ,ปอดบวมมรณะ,ปอดอักเสบนอกแบบ

ซาร์ส หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง* (severe acute respiratory syndrome/SARS) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดใหม่ที่พบระบาดในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2546 พบมีผู้ป่วยทั้งสิ้น 8,098 ราย จาก 26 ประเทศ ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยเสียชีวิต 774 ราย ส่วนใหญ่พบระบาดในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน แคนาดา เวียดนาม และสิงคโปร์

ในการระบาดใหญ่ทั่วโลกในครั้งนั้น ได้มีมาตรการควบคุมโรคอย่างได้ผล และปลอดจากผู้ป่วยรายใหม่มาจนถึงปัจจุบัน

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย และมักมีความรุนแรงในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีภูมิต้านทานโรคต่ำ

*มีชื่อเรียกอื่น เช่น ไข้หวัดมรณะ ปอดบวมมรณะ ปอดอักเสบนอกแบบ (atypical pneumonia)

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสตัวใหม่ซึ่งอยู่ในตระกูลไวรัสโคโรนา (coronaviruses) ไวรัสตระกูลนี้มีอยู่หลายสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่เคยพบในคนนั้นเป็นต้นเหตุของการเกิดไข้หวัดที่ไม่รุนแรง ส่วนสายพันธุ์ที่เคยพบในสัตว์ (สุนัข แมว หมู หนู นก) นั้นอาจทำให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท ตับ ลำไส้ของสัตว์เหล่านี้

ส่วนเชื้อไวรัสตัวใหม่นี้เป็นเชื้อที่กลายพันธุ์ขึ้นมาใหม่ เชื่อว่าแพร่มาจากสัตว์ป่าบางชนิด (ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นชนิดใด) นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อเชื้อนี้ว่า ไวรัสโคโรนาสัมพันธ์กับซาร์ส (SARS-associated corona-virus/SARS-CoV) เรียกสั้น ๆ ว่า ไวรัสซาร์ส เชื้อชนิดนี้พบก่อโรคครั้งแรกที่มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน แล้วแพร่กระจายไปทั่วโลก

การแพร่เชื้อ จากลักษณะการติดต่อของโรคที่พบ แพร่กระจายเฉพาะในหมู่คนที่อยู่สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด เช่น แพทย์ พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วย ญาติมิตรที่อยู่ในบ้านหรือห้องเดียวกันกับผู้ป่วย ผู้ที่อยู่ด้วยกันในห้องแคบ (เช่น ลิฟต์) เป็นต้น ทำให้สันนิษฐานว่า เชื้อไวรัสซาร์สแพร่กระจายทางละอองเสมหะขนาดใหญ่ (droplet transmission) แบบเดียวกับไข้หวัด กล่าวคือ โดยการไอจามรดใส่กันตรง ๆ ภายในระยะไม่เกิน 3 ฟุต (ประมาณ 1 เมตร) และโดยการสัมผัสมือ หรือสิ่งปนเปื้อนละอองเสมหะของผู้ป่วย เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น (เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถมีชีวิตอยู่บนสิ่งปนเปื้อนได้นานถึง 3 ชั่วโมง) แล้วเผลอนำนิ้วมือที่เปื้อนละอองเสมหะนั้นเช็ดตา เช็ดจมูก เชื้อโรคก็จะผ่านทางเยื่อเมือกเข้าไปในทางเดินหายใจ

ส่วนการแพร่เชื้อทางอากาศ (airborne transmission) และทางอาหารและน้ำดื่มนั้น ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็ยังไม่สามารถตัดออกไปได้

ระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นตั้งแต่เริ่มมีอาการเป็นไข้ในวันแรก และในวันที่ 4 หลังเป็นไข้จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น ส่วนระยะก่อนและหลังมีอาการนานกี่วันที่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ยังไม่ทราบแน่ชัด เพื่อความปลอดภัยแนะนำว่าผู้ที่หายจากอาการเจ็บป่วยควรแยกตัวนานอีก 10 วัน

ระยะฟักตัว 2-10 วัน (เฉลี่ย 4-6 วัน) บางรายอาจนาน 10-14 วัน

ในการเฝ้าระวังคนที่สงสัยว่าจะมีการติดเชื้อ เช่น เดินทางจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค จะต้องรอดูอาการอย่างน้อย 10 วัน เมื่อพบว่าเป็นปกติดีก็ถือว่าไม่ได้ติดเชื้อ


อาการ

แรกเริ่มจะมีอาการไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวมาก เบื่ออาหาร คล้ายไข้หวัดใหญ่ บางรายอาจมีอาการท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บคอหรือเจ็บหน้าอกร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการเป็นหวัด (เช่น จาม มีน้ำมูก)

2-7 วันหลังมีไข้ ผู้ป่วยจะมีอาการไอแห้ง ๆ ในรายที่เป็นรุนแรงถึงขั้นเป็นปอดอักเสบ ก็จะมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจหอบ หายใจลำบากตามมา อาการรุนแรงมักเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 2 ของการเจ็บป่วยในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ปอดอักเสบจะค่อย ๆ หายไปเองอย่างช้า ๆ และมักจะหายในสัปดาห์ที่ 3 ของโรค

ส่วนผู้ที่เป็นเล็กน้อย จะมีเพียงอาการไข้อยู่ประมาณ 4-7 วันก็หายไปเองคล้ายอาการไข้ธรรมดา อาจทำให้ไม่นึกถึงโรคนี้


ภาวะแทรกซ้อน

ที่ร้ายแรง ได้แก่ กลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome/ARDS) ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ

ร้อยละ 10-20 ของผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาล มีภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย (hypoxia) และจำเป็นต้องใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้ ≥ 38 องศาเซลเซียส และอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอื่น ๆ ชัดเจน

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจพบอาการหายใจหอบ

การใช้เครื่องฟังตรวจปอดมักไม่ได้ยินเสียงผิดปกติชัดเจน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจหาร่องรอยของไวรัสซาร์สในเลือด น้ำลาย หรือเสมหะ ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น reverse transcriptase-polymerase chain reaction (RT-PCR), ELISA การแยกเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง (cell culture), microneutralization test เป็นต้น

นอกจากนี้ อาจตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด อาจพบว่ามีจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ เอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูงกว่าปกติ 2-6 เท่า creatine phosphokinase สูงกว่าปกติ

การเอกซเรย์ปอดอาจพบร่องรอยของปอดอักเสบ


การรักษาโดยแพทย์

ถ้าพบผู้ป่วยมีไข้ และมีประวัติว่าก่อนหน้านี้ภายใน 10 วันได้เดินทางกลับจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่สงสัยเป็นโรคนี้ ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

ถ้าตรวจพบหรือสงสัยเป็นโรคนี้ มักจะต้องรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และแยกตัวไม่ให้แพร่เชื้อให้ผู้อื่น

การรักษา ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโดยจำเพาะ เพียงให้การรักษาตามอาการ ถ้ามีอาการหายใจลำบากก็ใช้เครื่องช่วยหายใจจนกว่าจะพ้นขีดอันตราย

ในประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ ได้มีการทดลองให้ยาต้านไวรัส (เช่น interferon, ribovirin, oseltamivir, lopinavir/ritonavir) ร่วมกับยาสเตียรอยด์ และบางรายให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมอาการปอดอักเสบ วิธีการเหล่านี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิผลของการรักษา


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้หลังจากสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือเพิ่งกลับจากการเดินทางไปยังประเทศหรือเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคซาร์ส ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์


การป้องกัน

1. ดูแลสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่ากินยาชุดหรือยาลูกกลอนที่มีสารสเตียรอยด์

2. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศหรือเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ หากเลี่ยงไม่ได้ควรสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ร่วมกับผู้อื่น หรือในที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่เพื่อชะเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมากับมือโดยไม่รู้ตัว หลีกเลี่ยงการใช้มือขยี้ตา แคะจมูก หรือนำนิ้วมือเข้าปาก ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกับผู้อื่น และอย่าใช้ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น

3. ถ้าหากมีผู้ป่วยซาร์สระบาดภายในประเทศเรา ก็ควรปฏิบัติเช่นเดียวกับที่กล่าวข้างต้น และถ้ามีคนในบ้านมีอาการไข้ที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดก็ควรรีบพาไปโรงพยาบาล ควรหลีกเลี่ยงการจับมือกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หลีกเลี่ยงการใช้ข้าวของเครื่องใช้กับผู้ป่วย ควรนอนแยกห้องกับผู้ป่วย เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้สะดวก ทำความสะอาดบ้าน เครื่องเรือน เครื่องใช้ โทรศัพท์ อย่างน้อยวันละครั้งด้วยผ้าชุบน้ำสบู่หรือผงซักฟอก

ป้องกันโรคซาร์สด้วยการล้างมือและสวมหน้ากากอนามัย


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป ร้อยละ 80-90 ของผู้ป่วยจะมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งจะหายได้เป็นปกติภายใน 2-3 สัปดาห์

ประมาณร้อยละ 10-20 จะมีอาการหนัก คือ หายใจลำบาก ซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจประคับประคองจนกว่าจะพ้นขีดอันตราย กลุ่มนี้มักจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนาน 2-3 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย

ประมาณร้อยละ 10 จะเสียชีวิต กลุ่มนี้มักมีอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ พบว่าเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปีที่เป็นโรคซาร์สมักจะเป็นไม่รุนแรงและหายได้เอง ส่วนผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 65 ปีมีอัตราตายถึงร้อยละ 50

2. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ ผู้ที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคควรเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 10 วัน ถ้าเป็นไปได้ควรวัดไข้ด้วยปรอททุกวัน ถ้าพบว่ามีไข้ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์

3. แพทย์และพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยซาร์ส จะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด (เช่น สวมถุงมือ ใส่เสื้อกาวน์ ใส่แว่นตาป้องกันการติดเชื้อ หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่) เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้ป่วยอย่างมาก

4. ถึงแม้ในปัจจุบันไม่มีรายงานการเกิดผู้ป่วยซาร์สรายใหม่มานานหลายปี แต่ควรติดตามเฝ้าระวัง หากมีผู้ป่วยเกิดขึ้นใหม่จะได้ระมัดระวังหาทางป้องกันไม่ให้เป็นโรคร้ายแรงชนิดนี้

15
บริการทำความสะอาด: เทคนิค ทำความสะอาดคราบไขมัน จากการทำอาหารให้สะอาดหมดจด

ในเวลาที่คนเราประกอบอาหาร สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ก็คือ คราบสกปรกและคราบไขมันต่าง ๆ ซึ่งแม้จะไม่ใช่อาหารประเภททอดก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะไขมัน เป็นองค์ประกอบหนึ่งในอาหารทั่วไป ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งไขมันในอาหาร เมื่อได้รับความร้อน มักระเหยกลายเป็นไอ แล้วไปเกาะตามเครื่องครัว โต๊ะ พื้น ผนัง หรือ ส่วนต่าง ๆ ในห้องครัวได้ง่าย ซึ่งหากไม่รีบทำความสะอาดให้ดี คราบไขมันเหล่านี้ ก็มักไปผสมรวมกับฝุ่นละอองอื่น ๆ กลายเป็นคราบเหนียวดำ ติดไม้ติดมือ เมื่อไปสัมผัส และ ยังล้างออกจากมือได้ยากอีกด้วย ดังนั้นการขจัดคราบไขมันเหล่านี้ให้หมดไปจากครัวของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญและควรใส่ใจอย่างยิ่ง ซึ่งอยากจะขอนำเสนอ เทคนิค ในการ ทำความสะอาดคราบไขมัน ที่ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. การทำความสะอาดเครื่องครัว น้ำร้อนคือ เทคนิค ทำความสะอาดคราบไขมัน เป็นตัวช่วยในการล้างคราบมันที่ติดตามเครื่องครัวให้ง่ายและสะดวกมากขึ้น โดยใช้ผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาด ๆ มาเช็ดบริเวณที่มีรอยน้ำมันเกาะ หรือจะใช้น้ำต้มเดือดร้อน ๆ ราดไปบริเวณคราบไขมัน คราบไขมันก็จะค่อย ๆ หลุดออกไปได้ง่าย หากมีคราบสกปรกอื่น ๆ ก็เพียงล้างทำความสะอาดตามวิธีทั่วไปก็ได้เครื่องครัวที่สะอาดหมดจดแล้ว

2. การทำความสะอาดพื้นห้องครัว พื้นห้องครัวมักมีคราบน้ำมัน ที่กระเด็นออกมา ในระหว่างการประกอบอาหาร นอกนี้ ยังมีเศษอาหารชิ้นเล็ก ๆ น้อย ซึ่งตัวช่วย ในการทำให้คราบไขมัน และ สิ่งสกปรกต่าง ๆ หมดไปนั้น ก็คือน้ำส้มสายชู ผสมกับน้ำยาทำความสะอาด ในอัตราส่วน 1:1 จากนั้นนำมาละลายในน้ำอุ่นสัก 3 ส่วน แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นใช้ผ้าชุบส่วนผสมที่เตรียมไว้ แล้วบิดผ้าให้หมาด จากนั้นจึงนำมาเช็ดทำความสะอาดบริเวณพื้นครัวได้เลย

3. การทำความสะอาดพัดลมดูดควัน พัดลมดูดควันคือตัวช่วย ที่ทำให้ห้องครัว ปราศจากกลิ่น จากการประกอบอาหารได้ดี แต่ก็มักจะรวบรวม ไอระเหยจากน้ำมันด้วย ซึ่งเมื่อสะสมไปนาน ๆ ก็จะยิ่งฝังแน่น จนยากจะขจัดออกไปให้หมด ซึ่งตัวช่วย ที่จะทำให้พัดลมดูดควัน สะอาดเหมือนใหม่นั้น ก็คือโซดาไฟ ที่ใช้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำสะอาดประมาณ 1 ลิตร ผสมจนละลายเข้ากัน (ควรใส่ถุงมือในระหว่างที่ทำ) จากนั้น ใช้แปรงนุ่ม ๆ จุ่มส่วนผสมที่เตรียมไว้ จากนั้นให้นำไปขัดพัดลมดูดควันจนสะอาด แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด พร้อมเช็ดให้แห้ง

4. การทำความสะอาดท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำทิ้งคืออุปกรณ์ที่ต้องรองรับเศษอาหาร หรือ คราบน้ำมันที่เกิดขึ้น ในระหว่างที่กำลังล้างภาชนะ เครื่องครัวต่าง ๆ ซึ่งหากปล่อยสะสมทิ้งเอาไว้ ก็อาจสร้างปัญหาท่ออุดตันได้ ซึ่งสามารถใช้เบกกิ้งโซดา ใส่ลงไปในท่อประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้น เทน้ำส้มสายชู ตามลงไปอีก 2 ช้อนโต๊ะ ปล่อยทิ้งไว้นาน 15 นาที แล้วราดน้ำร้อนตามลงไป คราบน้ำมัน หรือ ไขมันต่าง ๆ ก็จะหลุดหายไป โดยไม่ต้องลงมือขัดอีกต่อไป

5. การทำความสะอาดเตาประกอบอาหาร เตาประกอบอาหาร มักมีคราบไขมันติดแน่นอยู่มาก ทำให้ ต้องใช้วิธีพิเศษ โดยใช้เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะ และ น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวง ผสมให้เข้ากัน จากนั้น ใช้กระดาษทิชชู่ ชุบส่วนผสมที่เตรียมไว้ วางลงบนคราบน้ำมัน แล้วใช้พลาสติกแรปมาปิดเอาไว้ ทิ้งเอาไว้นาน 1 ชั่วโมง แล้วขัดคราบน้ำมันออก ด้วยฟองน้ำ หรือ หากคราบไม่ฝังแน่นมาก ก็สามารถใช้ แป้งสาลี ซึ่งมีส่วนประกอบของกลูเตน ที่มีคุณสมบัติ ในการดูดซับน้ำมันได้ดี ดังนั้น เมื่อเกิดคราบไขมัน บนเตาประกอบอาหาร เราจึงสามารถ ใช้แป้งสาลี โรยลงไปบนคราบ ทิ้งเอาไว้สักครู่ แล้วเช็ดออก ด้วยผ้าแห้ง เพียงเท่านี้ คราบไขมัน บนเตาประกอบอาหาร ก็จะหมดไป

หน้า: [1] 2 3 ... 30