ผู้เขียน หัวข้อ: การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) ปลอดภัยได้สุขภาพที่ดีขึ้  (อ่าน 81 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 274
    • ดูรายละเอียด
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) ปลอดภัยได้สุขภาพที่ดีขึ้น

ผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) คือ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง หรือเพื่อลดการดูดซึมของกระเพาะอาหาร ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน เพราะว่าในกระเพาะอาหารของเรามีฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดความอยากอาหาร เมื่อเราผ่าตัดลดขนาดกระเพาะลง ก็จะตัดส่วนที่มีฮอร์โมนชนิดนี้ออกไปด้วย และเมื่อฮอร์โมนนี้ลดลงก็จะส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงไป


ใครสามารถทำการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักได้บ้าง?

    ผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี
    ผู้ที่มีภาวะอ้วน คือค่า BMI มากกว่า 32.5
    ผู้ที่ลดความอ้วนด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
    ผู้ที่ไม่มีข้อห้ามในการผ่าตัด หรือโรคทางจิตเวช

“การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ถือว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมในการที่จะได้ผลการรักษาออกมาดี เพื่อการทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งนี้แพทย์จะวินิจฉัยอาการของผู้รับบริการว่ามีความพร้อมและปลอดภัยพอสำหรับการผ่าตัดหรือไม่ เพื่อผลที่ได้นั้นจะมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีโรคหรืออาการแทรกซ้อนแต่อย่างใดที่ต้องกังวล”
ทำความรู้จักกับคำว่า “โรคอ้วน” ว่าที่แท้… คืออะไร ?

โรคอ้วน (Morbid Obesity หรือ Adiposity-based chronic disease : ABCD) คือ สภาวะทางการแพทย์ที่มีการสะสมไขมันในร่างกายมากถึงขนาดที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้สูงมาก ซึ่งทำให้มีอายุสั้นลง มีปัญหาสุขภาพและเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนต่างๆ โดยการวินิจฉัยโรคอ้วนนั้นแพทย์จะพิจารณาจากการคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index : BMI) ซึ่งคำนวณได้โดยใช้ “น้ำหนักตัว” (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลังสอง ตามสูตร BMI = weight (Kg)

เกณฑ์ดัชนีมวลกาย (BMI) และการประเมินผล

น้อยกว่า 18          น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ
18.5 – 22.9    สมส่วน
23.0 – 24.9    น้ำหนักเกิน
25.0 – 29.9    โรคอ้วน
มากกว่า 30 ขึ้นไป    โรคอ้วนอันตราย

ตัวอย่างการคำนวณ BMI
นายสมชาย อายุ 35 ปี มีน้ำหนักตัว 62 กิโลกรัม ส่วนสูง 170 เซนติเมตร กับนางสาวสมหญิง อายุ 28 ปี มีน้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม ส่วนสูง 155 เซนติเมตร ถามว่าใครมีค่าดัชนีมวลกายดีเหมาะสมกว่ากัน

นายสมชาย :       BMI 62 กิโลกรัม / [(1.70 x 1.70) เมตร] = 21.45
นางสาวสมหญิง : BMI 55 กิโลกรัม / [(1.55 x 1.55) เมตร] = 22.89

สรุปว่า นายสมชายมีร่างกายสมส่วนเช่นเดียวกับนางสาวสมหญิง มีโอกาสการเกิดโรคแทรกซ้อนในระดับน้อยที่สุด

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนมีอะไรบ้าง?

    พันธุกรรม
    พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
    พฤติกรรมการออกกำลังกาย
    อายุและเพศ
    ความผิดปกติของสภาพอารมณ์และจิตใจ
    โรคและยาบางชนิด

ผลของโรคอ้วนต่อรางกาย

    โรคเบาหวานชนิดที่ 2
    โรคความดันโลหิตสูง
    โรคไขมันในเลือดสูง
    โรคหัวใจ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
    ภาวะไขมันพอกตับ และโรคตับอักเสบจากไขมันพอกตับ
    ภาวะการนอนกรน และการหยุดหายใจในขณะนอนหลับ
    โรคข้อกระดูกเสื่อม
    ภาวะการมีบุตรยาก
    โรคมะเร็งบางชนิด


การอ่านค่า BMI อย่างละเอียด

BMI < 18.5 สภาวะ “น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์”
เป็นผู้ที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ระดับต่ำกว่ามาตรฐาน มีภาวะความเสี่ยงสูงที่ร่างกายจะขาดสารอาหาร ทำให้อ่อนเพลียง่าย ภูมิคุ้มกันต่ำ การออกกำลังกายควบคู่กับการรับประทานอาหารโปรตีนสูงจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและมีสารอาหารเพียงพอต่อการซ่อมแซมการทำงานของอวัยวะต่างๆ

BMI 18.5 – 22.9
เป็นผู้ที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ระดับมาตรฐาน จะมีภาวะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนได้น้อยที่สุด ควรรักษาความสุมดลของค่า BMI ระดับนี้ไว้อย่างสม่ำเสมอ โดยคำนวณค่า BMI จากการตรวจสุขภาพประจำปีทุกครั้ง

BMI 23.0 – 24.9 สภาวะ “น้ำหนักเกินมาตรฐาน”
เป็นผู้ที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ระดับเกินตามมาตรฐาน มีภาวะความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วนได้ ควรควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายด้วยการเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนสูง หมั่นออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เพิ่มกิจวัตรประจำวันที่ใช้พลังงานสูงเพื่อลดระดับไขมันให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

BMI 25.0 – 29.9 สภาวะ “อ้วน”
เป็นผู้ที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ระดับเกินตามมาตรฐานมาก มีภาวะความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วนได้สูง ควรควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายแบบเร่งด่วนด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีการกินที่เน้นสุขภาพให้มากขึ้น พร้อมออกกำลังกายเป็นประจำ และงดทานของจุบจิบ ดื่มน้ำให้ได้อย่างต่ำวันละ 8 แก้ว พักผ่อนให้เพียงพอ และติดตามค่า BMI อย่างสม่ำเสมอในช่วงควบคุมน้ำหนัก

BMI 30.0 > สภาวะ “อ้วนมาก”
เป็นผู้ที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ระดับสูงเกินตามมาตรฐานมาก มีภาวะความเสี่ยงที่เกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วนได้สูงที่สุด ควรพบแพทย์เพื่อรับยาในการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เป็นอาหารสุขภาพ ทานไขมันให้น้อยลง และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 10-12 แก้ว และติดตามค่า BMI อย่างสม่ำเสมอในช่วงควบคุมน้ำหนัก


ข้อจำกัดของค่า BMI

เนื่องจากการคำนวณดัชนีมวลกายเพื่อหาความสัมพันธ์เกี่ยวกับปริมาณไขมันในมวลร่างกายของผู้ใช้บริการนั้นมีข้อจำกัดทางด้านเพศ อายุ รวมถึงปริมาณกล้ามเนื้อของบุคคลบางกลุ่ม ที่ทำให้ผลการคำนวณค่า BMI มีผลที่แตกต่างออกไป ดังต่อไปนี้

    การคำนวณ BMI ผู้หญิง มีแนวโน้มที่ปริมาณไขมันในร่างกายจะสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงช่วยเร่งสารอาหารให้เป็นไขมันได้ง่ายกว่าผู้ชาย ซึ่งทำให้การคำนวณดัชนีมวลกายผู้ชายในการตรวจดูไขมันอาจพบแค่ 15% ในขณะผู้หญิงพบได้ถึง 25% ของมวลไขมันทั้งหมด
    ผู้ที่อายุมากกว่า มีโอกาสสูงที่ปริมาณไขมันสะสมมากกว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า
    นักกีฬาที่ได้รับการฝึกฝนร่างกายทางกายภาพสูง จะมีผลการคำนวณค่า BMI ที่มีมวลกล้ามเนื้อสูงกว่าปริมาณไขมันในองค์ประกอบร่างกายมากกว่าคนทั่วไป


เหตุใดการลดน้ำหนักโดยวิธีทั่วไปจึงไม่ได้ผล

ในความเป็นจริงแล้วการลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายอย่างมีวินัยและควบคุมพฤติกรรมการกินนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยพบว่าคนส่วนใหญ่จะลดน้ำหนักได้เพียงแค่ 5–10 % ของน้ำหนักตัวเท่านั้น เพราะว่าร่างกายของเราจะเริ่มปรับสภาพตัวเองให้อยู่ในสภาพเสมือนอดอาหาร ทำให้การควบคุมอาหารนั้นไม่ได้ผล บางรายถึงกับเสียสุขภาพเนื่องจากมีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายหนักมากเกินไป และยิ่งกว่านั้น ในจำนวนของผู้ที่ลดน้ำหนักจากการออกกำลังกายและควบคุมอาหารนี้ พบว่ากว่า 50 % น้ำหนักจะกลับขึ้นมาใหม่ภายในเวลาเพียง 2 ปี

และสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากๆ การออกกำลังกายเหมือนคนทั่วไปนั้นก็เป็นไปได้ยาก เพราะนอกจากจะเหนื่อยง่ายแล้ว การออกกำลังกายของผู้ที่มีน้ำหนักมากยังเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้มากกว่า ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการที่จะลดน้ำหนักได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์โดยตรง เพื่อวางแผนการรักษาให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และมีการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง


ประโยชน์จากการรักษาโรคอ้วนโดยการผ่าตัดกระเพาะอาหาร

กรณีที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยวิธีปกติ การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่มีความปลอดภัย วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้มาตรฐานสากลทางการแพทย์ และถือเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้ป่วยโรคอ้วนสามารถลดน้ำหนักลงมาได้ โดยหลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะสามารถควบคุมน้ำหนักได้โดยง่าย ทั้งการออกกำลังกายและควบคุมการพฤติกรรมการทานอาหาร โดยทางโรงพยาบาลมีทีมแพทย์เฉพาะทางที่พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาเพื่อประสิทธิภาพและผลการรักษาที่ดีในระยะยาว ซึ่งโดยปกติ การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะจะทำให้ผู้ป่วยจะสามารถลดน้ำหนักลงได้เฉลี่ยประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ในช่วงแรก และกลับมาออกกำลังได้ตามปกติภายใน 1 เดือน และเมื่อลดน้ำหนักลงมาได้แล้ว โรคประจำตัวที่มีอยู่ก็อาจจะดีขึ้นหรือหายเป็นปกติได้

การผ่าตัดลดน้ำหนักมีวิธีการอย่างไร?

การผ่าตัดลดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก แบ่งออกเป็น 2 วิธีหลักด้วยกัน ได้แก่

1. การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารผ่านกล้อง
(Laparoscopic Sleeve Gastrectomy : LSG)
คือการผ่าตัดผ่านกล้องโดยใช้อุปกรณ์เครื่องมือตัดเย็บลำไส้อัตโนมัติ ทำการผ่าตัดกระเพาะอาหารให้เล็กลง เหลือเป็นลักษณะท่อยาวคล้ายแขนเสื้อ ซึ่งจะช่วยจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทานได้ในแต่ละมื้อ และลดฮอร์โมนควบคุมความอยากอาหารซึ่งผลิตจากกระเพาะอาหารส่วนที่ตัดออกไป

2. การผ่าตัดบายพาสกระเพาะอาหารผ่านกล้อง
(Laparoscopic Roux-en-Y Gastric Bypass : LRYGB)
คือการผ่าตัดผ่านกล้องโดยใช้อุปกรณ์เครื่องมือตัดเย็บลำไส้อัตโนมัติ ทำการผ่าตัดแบ่งกระเพาะอาหารให้มีส่วนที่รับอาหารเล็กลง และเชื่อมต่อกับลำไส้เล็กส่วนกลาง จึงช่วยจำกัดทิ้งปริมาณอาหารที่รับประทาน และช่วยลดการดูดซึมของสารอาหาร รวมทั้งลดการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนควบคุมความอยากอาหารอีกด้วย