ผู้เขียน หัวข้อ: ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งช่องปาก  (อ่าน 108 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 363
    • ดูรายละเอียด
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งช่องปาก
« เมื่อ: วันที่ 24 กันยายน 2024, 19:49:09 น. »
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งช่องปาก

มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) เป็นโรคมะเร็งที่ติด 10 อันดับแรกของโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในประเทศไทย ส่วนใหญ่มีความรุนแรง และมีอัตราการเสียชีวิตสูง มากกว่าร้อยละ 50

มะเร็งช่องปาก หมายถึง มะเร็งของริมฝีปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม เหงือก พื้นช่องปาก และ เพดานปาก นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ที่ทอนซิลด้านหลังช่องปาก ซึ่งเป็นต่อมผลิตน้ำลาย รวมถึงในบริเวณช่องคอที่เชื่อมต่อระหว่างปากกับหลอดลมหรือคอหอย แต่ที่พบบ่อยที่สุดเป็นชนิดที่เกิดจากเซลล์ของเยื่อบุผิวช่องปาก (Squamous Cell Carcinoma)

มะเร็งช่องปากเป็นมะเร็งที่พบได้ค่อนข้างบ่อย ในระยะแรก ๆ มักจะยังไม่มีอาการเจ็บปวด ทำให้ผู้ป่วยไม่ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องไปพบทันตแพทย์หรือแพทย์ ทำให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาล่าช้า ซึ่งการรักษาตั้งแต่ในระยะแรก ๆ จะช่วยให้มีโอกาสหายขาดจากโรคสูง


อาการของมะเร็งช่องปาก (Oral Cancer)

    มีรอยสีขาวคล้ายกำมะหยี่ แดง หรือรอยด่างสีแดงขาว ภายในช่องปาก
    เกิดอาการบวม มีแผล มีตุ่ม ก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อย ๆ บริเวณริมฝีปาก เหงือก หรือส่วนอื่น ๆ ในช่องปาก
    รู้สึกว่ามีอะไรติดอยู่ภายในลำคอ
    มีอาการด้านชาไร้ความรู้สึก หรือมีอาการเจ็บปวดอย่างไม่ทราบสาเหตุ บริเวณใบหน้า ปาก หรือลำคอ มีเลือดออกง่ายในช่องปาก อาการไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลา 2 - 3 สัปดาห์
    เกิดการเปลี่ยนแปลงของตัวฟัน การสบฟัน ฝันโยก ฟันหลุด
    เจ็บคอเรื้อรัง รวมทั้งเสียงเปลี่ยน และเสียงแหบ
    มีอาการกลืนและเคี้ยวอาหารลำบาก พูดและอ้าปากได้น้อย เสียงเปลี่ยน เจ็บในหู
    น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว  อ่อนเพลีย

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งช่องปาก

    การสูบบุหรี่ ชิการ์ ยาเส้น ยาฉุน สามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 6 เท่า
    การบริโภคยาสูบผ่านการเคี้ยว การสูดดม ก่อให้เกิดการพัฒนาเซลล์มะเร็งที่บริเวณเหงือก แก้ม หรือริมฝีปาก มากถึง 50 เท่า
    ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ถึง 6 เท่า
    การเคี้ยวหมากพลู  พบว่าในหมากมีสารก่อมะเร็งหลายชนิด
    มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งมาก่อน
    รังสียูวี (เฉพาะมะเร็งบริเวณริมฝีปากล่าง)
    โรคติดเชื้อเอชพีวี (Human Papillomavirus) สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งศีรษะและลำคอมากที่สุด คือ เอซพีวี 16 โดยสามารถติดต่อจากการสัมผัส การมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางปาก ช่องคลอด และทวารหนัก

 
การวินิจฉัยมะเร็งช่องปาก

แพทย์สามารถวินิจฉัยมะเร็งช่องปากได้จากข้อมูลประวัติ ปัจจัยเสี่ยง อาการ และการตรวจช่องปากและลำคอ การตรวจทางภาพรังสี และตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยมะเร็งช่องปากก่อนที่จะวางแผนการรักษาต่อไป

 
การรักษามะเร็งช่องปาก

อาจใช้วิธีการใดวิธีหนึ่งหรือใช้หลายวิธีร่วมกัน ขึ้นกับชนิดและขนาด ตลอดจนระยะของโรคและวัตถุประสงค์ในการรักษา

    การผ่าตัด เป็นการผ่าตัดนำเอาก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ออก และมักจะต้องผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอออกด้วย
    รังสีรักษา เป็นการใช้รังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง บางครั้งอาจใช้ร่วมกับการผ่าตัดในรายที่มีข้อบ่งชี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา
    เคมีบำบัด เป็นการใช้ยาต้านมะเร็งหลายชนิดร่วมกัน เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งทั้งบริเวณก้อนเนื้องอกและเซลล์มะเร็งที่อาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดและรังสีรักษาในรายที่มีข้อบ่งชี้
    การใช้ยาเจาะจงเซลล์มะเร็ง (Target Therapy) โดยยาจะเข้าไปหยุดยั้งการทำงานของโปรตีนในเซลล์มะเร็ง สามารถทำควบคู่ไปกับเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา
    การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การรักษาด้วยวิธีทางภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) สำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปากที่จำเป็นต้องได้รับรังสีรักษาหรือเคมีบำบัด จะต้องได้รับการเตรียมช่องปากโดยทันตแพทย์ก่อนการรักษาเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะกระดูกกรามตายจากรังสี และป้องกันการติดเชื้อในกระแสโลหิตที่มีสาเหตุจากโรคเหงือกและฟันในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัด นอกจากนี้ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างต่อเนื่องระหว่างและภายหลังการได้รับรังสีรักษาอีกด้วย

 
การฟื้นฟูสภาพภายหลังการรักษามะเร็งช่องปาก

ภายหลังจากรับการผ่าตัดและรังสีรักษาแล้ว ผู้ป่วยอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสภาพ เช่น การฝึกกลืน ฝึกอ้าปาก ฝึกพูด ใส่ฟันเทียม เป็นต้น

 
การตรวจติดตามผลการรักษาของมะเร็งช่องปาก

ภายหลังการรักษา ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจติดตามผลเป็นระยะจนครบอย่างน้อย 5 ปี เพื่อตรวจว่ามีการกลับเป็นซ้ำของโรคมะเร็งหรือไม่

 
ภาวะแทรกช้อนของมะเร็งช่องปาก

โรคมะเร็งช่องปากและกระบวนการรักษาโรคสามารถก่อให้เกิดภาวแทรกซ้อนได้แล้วแต่กรณี ในบางครั้งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจในการดำเนินชีวิตประจำวัน

    กลืนลำบาก (Dysphagia) หากพบมีปัญหาการกลืน อาจให้อาหารทางสายยางในระยะสั้น เพื่อช่วยให้บริโภคอาหารได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงการสำลักลงปอด นอกจากนี้อาจต้องรับการบริหารที่ช่วยพัฒนาการกลืนอาหาร เป็นต้น
    ปัญหาในการพูด เกิดจากการใช้รังสีรักษาและการผ่าตัด ต้องรับการสอนหลักการออกเสียงใหม่
    ผลกระทบทางอารมณ์ เช่น เกิดภาวะซึมเศร้า ซึ่งควรรีบเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์โดยทันที

 
การป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งช่องปาก

    ลดความเสี่ยงในการทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในช่องปาก เช่น ลดการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การเคี้ยวหมากพลู การสูบบุหรี่ ยาเส้น หรือ ยาฉุน
    รับประทานอาหาร ผักและผลไม้หลากหลายชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ
    ดูแลรักษาสุขภาพของช่องปากและฟันด้วยตนเองให้สะอาดอยู่เสมอ ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันสม่ำเสมอ หากมีความผิดปกติ เช่น ฟันผุ ฟันบิ่น ฟันปลอมหลวม ให้รีบพบทันตแพทย์
    พยายามหลีกเลี่ยงรังสี UV โดยเฉพาะบริเวณริมผีปาก ด้วยการทาครีมกันแดดสำหรับริมฝีปากหรือการสวมหมวกปีกกว้างที่สามารถบดบังแสงแดดไม่ให้กระทบกับใบหน้าโดยตรง